มหาวิทยาลัยมหิดล โดย รศ.นพ.อภิชาติ ศิวยาธร รองคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพงาน คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลขณะนั้น ได้ใช้การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพองค์กรมาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน การแสวงหา Best Practice สามารถสร้างเครือข่ายชุมชนนักปฏิบัติได้อย่างเข้มแข็ง ปัจจุบันได้ขยายผลไปในทุกคณะ/หน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง R2R (Routine to Research) ที่เรียกว่าโครงการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัยที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วย พันธกิจขององค์กรและสังคม โดยมีการสนับสนุนและการบริหารจัดการที่เหมาะสม เกิดการเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรและบุคลากรในการบริการสุขภาพและการวิจัย และเกิดนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อการบริการสุขภาพ ในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานวิชาชีพต่างๆ ให้สามารถพัฒนางานประจำของตนเองสู่งานวิจัยในระดับบุคคล ในระดับวิจัยสถาบัน และขยายผลสู่ระดับชาติต่อไปได้เป็นอย่างดี ในระยะแรกมุ่งเน้นที่กลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Care team เพื่อพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาล กลุ่มภาควิชา เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ปฏิบัติงาน และกลุ่มเฉพาะเจาะจงเพื่อสนับสนุนกลุ่มนักวิจัย ด้วยระบบสนับสนุนที่มีที่ปรึกษากลุ่ม การจัดอบรมเพื่อพัฒนาทักษะการวิจัย การเผยแพร่ความรู้และจัดเวทีกิจกรรมเป็นระยะ ขณะนี้ถือได้ว่าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ใช้หลักการจัดการความรู้ในการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัยได้เป็นอย่างดี เกิดชุมชนนักปฏิบัติขึ้นอย่างมากมาย เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการเป็นศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันการจัดการความรู้ได้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในคณะและหน่วยงานต่างๆ เช่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และสำนักหอสมุด ภายใต้ความรับผิดชอบของ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษาและทรัพยากรบุคคล ในฐานะ "คุณเอื้อ" ในปัจจุบัน ที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามหาวิทยาลัยมหิดลสู่การเรียนรู้ขององค์กรด้วยการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยในระดับ TOP 100 ของโลก โดยมีสำนักพัฒนาคุณภาพเป็นแม่งานสนับสนุนที่สำคัญ
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ริเริ่มนำการจัดการความรู้ใช้ในกระบวนการพัฒนาองค์กรได้อย่างชาญฉลาดโดยรองศาสตราจารย์สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารในขณะนั้น โดยมุ่งหวังให้มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นหลักธรรมาภิบาล ซึ่งต้องอาศัยการสร้างทีมและมีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งด้วยการจัดการอบรมอาจารย์และพนักงานให้เข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและแนวทางการใช้เครื่องมือการจัดการความรู้ จัดโครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สู่แนวทางการปฏิบัติงานที่ดีเป็นรุ่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างค่านิยมหรือความเชื่อที่มีต่อการจัดการความรู้ว่าจะสามารถนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้เป็นประโชยน์ต่อการพัฒนาศักยภาพให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อที่จะนำไปขยายผลในหลากหลายหน่วยงานและหลากหลายหน้าที่ตามกลุ่มต่างๆ เช่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานดี โดยเริ่มจากพนักงานสายสนับุสนุนก่อนขยายผลไปยังสายวิชาการ สนับสนุนให้เกิดชุมชนนักปฏิบัติและเสริมสร้างเครือข่ายซึ่งกันและกัน เช่น ชุมชนคน e-office ชุมชน Healthy Workplace ชุมชนเครือข่ายงานบุคคล และชุมชนคนพัสดุ เป็นต้น อาศัยที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มีบุคลากรประกอบด้วยคนรุ่นใหม่จำนวนมาก เช่น คุณนิรันดร์ จินดานาค จากหน่วยพัฒนาองค์กร เป็นผู้ที่มีประสบการณ์และมีภาวะผู้นำ เป็นวิทยากรกระบวนการ KM ที่ดี มีความมุ่งมั่นและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว สามารถคิดนวัตกรรมในการป้องกัน ส่งเสริม และพัฒนานักศึกษาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สำหรับในสายวิชาการยังได้ ผศ.ดร.วัลลา ตันตะโยทัย คณบดีสำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ ที่ชำนาญเรื่องการจัดการความรู้ด้านการดูแลผู้ป่วยเบาหวานมาเป็นพลังช่วยขับเคลื่อนอีกแรงหนึ่ง ปัจจุบัน ดร.กีร์รัตน์ สงวนไทร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าใจ KM เป็นอย่างดีเข้ามารับผิดชอบแทน ก็ยังสนับสนุนการใช้ KM ในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์อย่างเต็มที่เช่นเดิม
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดย รศ.ดร.พิศมัย ศรีอำไพ "คุณเอื้อ" ในขณะนั้นสนับสนุนการจัดการความรู้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน พัฒนางาน พัฒนาฐานความรู้ของมหาวิทยาลัยไปสู่องค์แห่งการเรียนรู้และองค์กรนวัตกรรม โดยเริ่มใช้ในระบบประกันคุณภาพเช่นเดียวกัน โดยใช้ "โมเดลปลาทู" เป็นกรอบแนวทาง จัดตั้งทีมงานและชี้แจงทำความเข้าใจขยายผลไปยังคณะหน่วยงานต่างๆ ต่อมายิ่งมีการนำการจัดการความรู้มาใช้งานที่เข้มข้นขึ้นภายหลังจาก รศ.นพ.จิตเจริญ ไชยาคำ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาช่วยงานที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เนื่องจากเป็นผู้ที่ชำนาญและเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการความรู้ในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เนื่องจากเป็นผู้ที่ชำนาญและเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการความรู้ในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เนื่องจากเป็นผู้ที่ชำนาญและเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการความรู้ในมหาวิทยาลัยผู้หนึ่ง ในวงการเรียกว่า "JJW ภายใต้หลักการ MSU-ABC Square Model ที่ดำเนินการผ่านระบบประกันคุณภาพ (Assurance) เพื่อก้าวสู่ TQA ในอนาคต ทีมงานจัดการความรู้ (Backup) และเรียนรู้จาก Best Practice และส่งเสริมความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน (Collaboration) เพื่อสร้างชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice) การส่งเสริมสมรรถนะ (Competency) และค่านิยมหลัก (Core Value) ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องระบบประกันคุณภาพควบคู่กับการจัดการความรู้ให้แก่หน่วยงานต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งในระดับคณาจารย์ ผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนนักศึกษา นอกจานี้ยังมีความพยายามสร้างเครือข่ายในรูปแบบ Mini-UKM กับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยนครพนม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยพายัพ เพื่อสร้างเครือข่ายการจัดการความรู้ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาเพิ่มเติม
มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม โดยอาจารย์ ดร.ทองม้วน นาเสงี่ยม "คุณเอื้อ" แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏเพียงแห่งเดียวที่เป็นสมาชิกใน UKM พยายามนำการจัดการความรู้มาใช้ในระบบประกันคุณภาพและกิจกรรมหลายๆ อย่างของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคณาจารย์รุ่นใหม่ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดหลายๆ ของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคณาจารย์รุ่นใหม่ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดหลายประการ แต่ด้วยความเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มุ่งเน้นการพัฒนาท้องถิ่น จะสามารถใช้การจัดการความรู้ก่อให้เกิดประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน
ในการประชุมคณะกรรมการที่เรียกว่า Business Meeting นั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์ให้ข้อคิดเห็น และให้ข้อเสนอแนะต่อการจัดงาน UKM ไว้อย่างน่าสนใจว่า รูปแบบการจัด UKM ที่ดีควรเป็นอย่างไร การใช้เทคนิคการเล่าเรื่องความสำเร็จที่ดีควรเตรียมตัวอย่างไร สิ่งที่ชาว UKM จัดแล้วสามารถนำไปปรับใช้กับมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแต่พิธีการที่ต้องมาพบกันทุก 3 เดือนเท่านั้น ผู้ได้รับประโยชน์คือ ผู้มาประชุม ผลของการประชุมในแต่ละครั้งนำไปสู่การปรับปรุงรูปแบบเพื่อไม่ให้มีกฎเกณฑ์ตายตัวเสมอไป มหาวิทยาลัยควรเตรียมตัวและชี้แจงแก่สมาชิกที่จะเข้าร่วมงานก่อนที่เรียกว่า BAR (Before Action Learning) เพื่อทำความเข้าใจและซักซ้อมสิ่งที่จะนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยภายใต้เวลาที่กำหนด และเมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้ว ควรจัดกิจกรรมที่เรียกว่า AAR (After Action Review) ว่าสิ่งที่ได้รับประโยชน์เป็นไปตามความคาดหมายมากน้อยแค่ไหน และจะสามารถปรับใช้กับตนเองและหน่วยงานได้อย่างไร ผลของการประชุมที่เด่นชัดอีกประการหนึ่ง คือ การจัดกิจกรรมในลักษณะที่ต่อเนื่องกัน เช่น ในปี พ.ศ. 2551 กำหนดในเรื่อง การวิจัยเพื่อพัฒนางานเป็นตัวนำ ดังนั้นการประชุมครั้งที่ 12 ประชุมเรื่อง R2R ครั้งที่ 13 ประชุมเรื่อง การนำการวิจัยไปใช้ประโยชน์ และร่างการประชุมครั้งที่ 14 ประชุมเรื่อง การวิจัยในชั้นเรียน เป็นต้น
การบริหารจัดการองค์กรและการจัดการความรู้ (รวมบท)
เครือข่ายการจัดการความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัย ตอน 1 ตอน 2 ตอน 3 ตอน 4 ตอน 5 ตอน 6
ไม่มีความเห็น