ล้างรถ


ล้างรถ

คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ310509

โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ www.newheartnewlife.net

         ผมยังไม่แน่ใจนักว่า อะไรทำให้ผมเป็นคนชอบล้างรถด้วยตัวเองมากกว่าที่จะนำรถยนต์ไปยังร้านล้างรถ เรื่องเสียดายสตางค์หรือต้องการจะประหยัดก็คงจะไม่ใช่ เพราะผมไม่ได้รู้สึกว่าร้านล้างรถเขาคิดราคาที่สูงเกินไป แต่ก็อาจจะเป็นเพราะเบื่อที่จะต้องไปนั่งรอรถยนต์ในระหว่างที่กำลังล้างหรืออาจจะคิดว่าการล้างรถเป็นอะไรง่ายๆ ที่ผมสามารถทำได้ด้วยตัวเองมากกว่ากระมัง

         ลองนึกๆ ดูก็อาจจะเป็น "ความสนุกสนาน" อะไรบางอย่างในวัยเด็กของผมกระมังที่ผมมีความสุขอยู่กับการได้ช่วยคุณพ่อล้างรถในสมัยโน้น การได้เห็นรถยนต์ที่เราใช้อยู่นั้นสะอาดขึ้นมากับ "น้ำมือของเรา" เอง เมื่อเราราดน้ำลงไป ใช้ผ้าผสมแชมพูหรือสบู่เหลว เช็ดล้าง คราบฝุ่น ขี้โคลนต่างๆ ออกไป จากนั้นก็ฉีดน้ำล้างคราบสบู่ที่ติดอยู่บนตัวถังรถยนต์ แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งอีกรอบก็เป็นการเสร็จพิธี

        จังหวะที่ฉีดน้ำล้างเอาคราบสบู่ออกนั้น เราจะมองเห็นความสดใส ความแวววับ ความใหม่ที่โผล่ออกมาจากสายน้ำที่เราฉีดราดไปบนตัวถัง ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ

        การใช้ผ้าสะอาดเช็ดในรอบสุดท้ายก็ยิ่งเหมือนกับรับรู้ถึง "ความสดชื่นสดใส" ของรถยนต์ของเรา คล้ายกับความรู้สึกสดชื่นหลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จ คล้ายคลึงกันมากทีเดียว

        ตอนที่เรียนจบใหม่ๆ และคุณแม่ของผมซื้อรถยนต์ใหม่ให้เป็นรางวัลนั้น ผมก็ขยันล้างรถด้วยตัวเองมาก แต่ตอนนั้นก็อาจจะรู้สึกว่าเป็นเพราะรถใหม่ เราก็ต้องทะนุถนอมและหมั่นดูแลให้ดีๆ

      อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานนัก ด้วยภารกิจทางหน้าที่การงานที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ทำให้ผมละเลย "การล้างรถ" ที่มีความสุขแบบนั้นไปนาน และหันไปใช้บริการของร้านล้างรถหรือไม่ก็ขอให้แม่บ้านที่จ้างมาทำงานบ้านช่วยล้างให้อยู่นับสิบปีทีเดียว

      ห้าหกปีที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสกลับมา "ล้างรถ" ด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง นานๆ ครั้งถึงจะได้มีโอกาสนำรถเข้าร้านล้างรถสักครั้ง

      และในระยะหลังๆ นี้ผมรู้สึกว่า "ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย" จากการล้างรถ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การได้รถยนต์ที่สะอาดเอี่ยมอ่องหลังจากที่ล้างรถเสร็จ

      ผมมักจะชอบใช้เรื่องของแดเนียล หนุ่มน้อยในภาพยนตร์เรื่อง "คาราเต้ คิดส์" มาเปรียบเทียบเสมอ แดเนียลเป็นเด็กวัยรุ่นที่ต้องการเรียนคาราเต้ เพราะเขาถูกรังแกบ่อยๆ ก็เลยหาทางที่จะมาเรียนคาราเต้กับชาวญี่ปุ่นร่างเล็กเตี้ยที่ชื่อ มิยากิ ในการเจอกันครั้งแรกๆ นั้นมิยากิให้แดเนียลล้างรถ ให้ทาสีรั้วและทำงานอื่นๆ มากมาย มิยากิสอนไว้ว่า ใช้มือขวาถือฟองน้ำพร้อมสบู่แล้วหมุนเป็นวงกลมถูไปตามตัวถังของรถยนต์ทวนเข็มและตามเข็ม จากนั้นให้ใช้มือซ้ายถือฟองนั้นแล้วหมุนแบบเดียวกัน

      แดเนียลไม่เข้าใจว่าเรียนคาราเต้เกี่ยวข้องอะไรกับการล้างรถ

      ผมเองก็ยอมรับว่าในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า มิยากิให้แดเนียลล้างรถยนต์ทำไม จนกระทั่งเมื่อห้าหกปีก่อนที่ผมกลับมาล้างรถยนต์ด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ผมถึงเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง

     ผมพบว่ามี "ภูมิปัญญา" และ "องค์ความรู้" มากมายซ่อนอยู่ในเรื่องธรรมดาๆ แค่เรื่อง "การล้างรถ" นี่เอง

    หลายๆ ครั้งที่ผมสังเกตว่าผมได้ "บทความ" ดีๆ มากมาย ที่ "ผุดขึ้นมา" ในระหว่างการล้างรถ

    ผมสังเกตตัวเองพบว่า เดี๋ยวนี้การล้างรถของผมเป็นอะไรที่มีความสุข ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่รีบร้อนที่จะให้เสร็จๆ เหมือนกับในสมัยก่อน

    บางครั้งก็แค่ปัดเช็ดด้วยไม้ขนไก่อย่างเดียว บางครั้งก็รวมการใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดกระจกหน้าและหลัง บางครั้งก็ล้างเฉพาะส่วนที่เปื้อนเท่าที่อยากจะล้าง บางวันก็ปัดเช็ดบวกกับการล้างล้อรถ ไม่จำเป็นจะต้องล้างทั้งคัน ไม่ต้องพยายามทำให้เสร็จ แต่ทำทุกๆ วัน ทีละนิดๆ ไม่นานไม่กี่วันก็เหมือนล้างทั้งคันไปเอง ที่สำคัญรถยนต์ก็จะดูสะอาดอยู่เสมอๆ ทุกวัน

     ผมพบว่าการเลื่อนผ้าเช็ดรถด้วยมือของเราไปตามส่วนต่างๆ ของรถยนต์นั้น เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เพียงแค่รับรู้กับความรู้สึกของร่างกายเมื่อมือที่ถือผ้าผสมสบู่ลูบไล้ไปตามตัวถังของรถยนต์ ความรู้สึกที่ฝ่ามือเคลื่อนไปสัมผัสกับตัวถังรถยนต์ การเคลื่อนที่ของหัวไหล่ ลำตัวที่ต้องเคลื่อนไปตามหัวไหล่และมือ การรับรู้ถึงความรู้สึกที่ฝ่าเท้าสองข้าง รวมไปถึงการรับรู้ถึงลมหายใจเข้าและออกในขณะที่ร่างกายทั้งหมดเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ อย่างสบายๆ อยู่ตรงนั้น ภาพของตัวถังรถยนต์และฟองสบู่ที่อยู่ตรงหน้า

     ความรู้สึกที่ฝ่ามือตรงนี้ทำให้ผมพลอยเข้าใจไปถึงความรู้สึกที่ท่านติชนัท ฮันห์ได้เคยบันทึกไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านที่พูดถึง "การล้างจาน" ว่า เหมือนกับการล้างหน้าให้กับพระพุทธรูป

    และหลายๆ ครั้งเลยที่ผมรู้สึกว่า ผมได้ถือโอกาสขอบคุณเจ้ารถยนต์คันนี้ของผม ที่เป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ช่วยนำพาให้ผมไปยังสถานที่ต่างๆ อย่างปลอดภัยเสมอมา

    ช่วงๆ หลังนี้ผมเริ่มพบว่า อืมม "รถยนต์คันเดียว" ให้ล้างนั้น ชักจะไม่เพียงพอสำหรับซะแล้ว ผมก็เลยเริ่มขยายงาน "ล้างรถ" นี้ไปยัง "รถยนต์ของภรรยา" ที่จอดอยู่ข้างๆ

    ผมพบว่าเวลาที่ล้างรถให้กับภรรยาก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากการล้างรถยนต์ของผมเองหลายอย่างทีเดียวครับ ผมไม่รู้สึกถึงความต้องการ "คำขอบคุณ" ใดๆ จากภรรยาของผม ผมเพียงรู้สึกดีมากๆ กับการที่ "ได้ทำอะไร" ให้กับรถยนต์ที่เธอรักและที่เธอต้องใช้งานในการไปทำงานทำธุระต่างๆ ในวันนั้นๆ

    นอกจาก "การล้างรถ" จะทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีอะไรที่ผมอยากจะทำด้วยตัวเองอย่างสนุกสนานและมีความสุขในยามเช้าหลังการออกกำลังกายแล้ว ผมยังรู้สึกว่า "การล้างรถ" เป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมสามารถทำให้กับคนที่เรารักด้วย

ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยจริงๆ

 

หมายเลขบันทึก: 276737เขียนเมื่อ 15 กรกฎาคม 2009 14:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 11:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอบคุณที่นำเรื่องดี ๆมาเล่าสู่กันฟังครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท