"หยุดทะเลาะกัน!...อ้าว....ใครทะเลาะกัน?....งง....


หยุดทะเลาะกัน ใครทะเลาะกัน ทำไมจึงทะเลาะกัน สาเหตุมาจาก..

หยุดทะเลาะกัน!......งง....ใครทะเลาะกัน?

                ความเดิมตอนที่แล้ว ผมเสนอความเห็นในทัศนะของผมเกี่ยวกับการรณรงค์ทั่วประเทศว่า หยุดทำร้าย
ประเทศไทย
   หยุดทะเลาะกัน  สงบ สันติ  เชิดชูสถาบันกษัตริย์
                 ผมได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับ
หยุดทำร้ายประเทศไทย  ไปแล้ว  วันนี้ ขอเสนอในประเด็น
หยุดทะเลาะกัน 
.......เอ....
..แล้วใครทะเลาะกัน ถึงบอกให้หยุดทะเลาะ.......

                 มีใครสักกี่คนที่อธิบายในเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนบ้าง

                 ความคิดเห็นของผมต่อไปนี้  อาจจะดูแรงไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะครับ แต่ขอออกตัวก่อนว่าผมแสดงความคิดเห็น
ในฐานะที่เป็นครู  ครูที่อยู่กับลูกศิษย์ลูกหามากว่า
25 ปีแล้วนะครับ และก็
คิดว่า ได้เสียสละส่วนตน ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ
กำลังทรัพย์และสติปัญญา  สร้างเด็กและเยาวชนที่เป็นลูกศิษย์ของผมให้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศไทยเรา  โดยเน้น
การเป็นคนดีควบคู่กับการดำรง
ชีวิตอยู่ในโรงเรียนและเรียนหนังสืออย่างมีความสุข    
                  
ผมมักจะปลูกฝังให้ลูกศิษย์มีความกล้าหาญทางจริยธรรม   กล้าที่จะทำความดี   คิดดี  ทำดี  ประพฤติดี              

                  ในทัศนะของผมแล้ว หากมีใครกล่าวว่า  หยุดทะเลาะกัน  นั่นแสดงว่าจะต้องมีกลุ่มคนมากกว่า 1 ฝ่าย   จะต้อง
มีฝ่ายที่ทะเลาะกันตั้งแต่
2 ฝ่ายขึ้นไป

                   ดูจากข่าวโทรทัศน์  ข่าวหน้า 1 รวมทั้งบทความทางหนังสือพิมพ์ และใน website ต่าง ๆ เมื่อหลายเดือนก่อน 
มักจะกล่าวกันว่า 
พวกเสื้อเหลือง  กับ พวกเสื้อแดง   ทะเลาะกัน

                   บางคนก็ว่า  พวกเสื้อสีน้ำเงิน  วางแผนให้ พวกสีแดง ทะเลาะกับ พวกสีเหลือง

                   บ้างก็ว่า พวกสีน้ำเงินจับมือกับพวกสีเขียว  วางแผนให้ พวกสีเหลืองออกมาเผชิญหน้ากับพวกเสื้อแสดง 
แล้ว
พวกสีน้ำเงิน  ก็จะยืมมือ พวกสีเขียว   ปราบทั้ง 2 สีให้
ราบคาบในคราวเดียวกัน

                  ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราคนไทย มีสีเพียง 3 สี คือ สีแดงคือชาติ  สีขาว-ศาสนา  สีน้ำเงินคือพระมหากษัตริย์

                  การเรียกคนไทยด้วยกันว่า พวกสี.......  นั่นแสดงว่าบุคคลนั้นกำลังทำร้ายประเทศไทยให้เกิดความแตกความ

สามัคคี  เหมือนฉีดยาเร่งให้กลุ่มคนไทยมาทะเลาะกัน.....ฆ่ากันเอง.....

                  แทนที่จะให้ข้อเท็จจริงว่า  ที่ใดมีปัญหา  ข้อขัดแย้ง  ย่อมเกิดมาจากเหตุ   ต้องให้ข้อเท็จจริงว่า ปัญหาที่เกิดนี้มีสาเหตุมาจากอะไร  และเพราะเหตุใดจึงเกิดเป็นปัญหา เกิดเป็นความขัดแย้ง   แล้วจะแก้ปัญหา ความขัดแย้งนี้ได้ด้วย
วิธีการใด   ซึ่งการให้ข้อเท็จจริงนี้ต้องไม่เป็นการ
บิดเบือนข้อมูล  และจะต้องเป็นข้อเท็จจริงบนพื้นฐานความถูกต้องทาง
กฎหมาย ถูกต้องทางคุณธรรม  จริยธรรม และค่านิยมที่ดีงามของไทยด้วย
                  วิธีการแก้ปัญหาก็เช่นกัน  มักจะกล่าวกันว่าให้สมานฉันท์   แล้วให้ฝ่ายสีต่าง ๆ ที่ถูกเรียก
มาสมานฉันท์กัน
โดยไม่กล่าวถึงปัญหา-สาเหตุ-แนวทางแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

                   ผมมักจะยกตัวอย่างให้ลูกศิษย์ผมทุกรุ่นฟังว่า เมื่อมีข้าว  2 จานบนโต๊ะ จานหนึ่งข้าวสวยหอมกรุ่น   อีกจานหนึ่ง
เป็นข้าวที่มีกลิ่นบูด  เธอหิวข้าวมาก   เธอจะเลือกกินข้าวจานใหน
   ลูกศิษย์ผมจะตอบเหมือนกันว่า ก็เลือกกินข้าวสวย
หอมกรุ่นนะสิคะ
  ไม่มีสักคนเดียวที่จะเลือกกินข้าวจานที่บูด  หรือไม่มีสักคนเดียวที่จะนำข้าวทั้งสองจานมาปนกันก่อนกิน 

                   แล้วผมก็ถามว่า ทำไมไม่กินข้าวจานที่บูดล่ะ  ลูกศิษย์ผมตอบว่า ก็ข้าวบูด  กินไปก็ปวดท้อง หรือท้องเสีย 
เพราะ
มีเชื้อโรคค่ะ

                   ข้าวสวยหอมกรุ่น  หากเปรียบเทียบก็คงจะเหมือนกับ ความดี  และ  ข้าวที่บูด  ก็เปรียบเสมือนกับ 
ความชั่ว  

                 หากผมเป็นครูประเภทที่ต้องการให้ลูกศิษย์เป็นคนดีบ้าง ชั่วบ้าง ก็ต้องให้นักเรียนเลือกกินข้าวสวยหอมกรุ่นปนกันกับข้าวจานที่บูด  หรือหากจะให้ลูกศิษย์ผมเป็นคนชั่ว ก็ต้องให้เลือกกินข้าวบูด

                  แต่ผมก็ดีใจที่ลูกศิษย์ของผมเลือกที่จะกินข้าวสวยหอมกรุ่นกันทุกคน  ซึ่งหากจะให้เลือกทำความชั่ว กับดี 
ลูกศิษย์ผมก็ต้องเลือกที่จะทำความดี และเป็นคนดี

                  ผมเป็นครูก็ต้องสั่งสอนศิษย์ให้เป็นคนเลือกข้าง  เลือกข้างที่จะเป็นคนดี ทำแต่ความดี ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม

และพยายามทุกวิถีทางที่จะปิดกัน  ป้องกันมิให้ลูกศิษย์ของผมเลือกข้างที่จะเป็นคนชั่ว เลือกข้างที่จะเป็นคนทำสิ่งที่ผิด หรือเป็นคนที่ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย  ผิดศีลธรรม ผิดจารีตประเพณีไทย แล้วกลบเกลื่อน บิดเบือน เสแสร้งว่าตนเองไม่ผิด  ตนเอง
ไม่ได้ทำความชั่ว
                  ฉันใดก็ฉันนั้น  การมองปัญหาที่เกิดขึ้น  เมื่อมองที่สาเหตุ  ก็จะต้องมีคำว่าสิ่งใดถูก
สิ่งใดผิด  หากเป็นการ
ทะเลาะกัน  สุดท้ายก็ต้องบอกว่าใครถูก ใครผิด  ถูกทั้งคู่ หรือผิดทั้งคู่ เพราะอะไร  ซึ่งการที่
จะชี้ถูก ชี้ผิดได้นั้น ก็ต้องอยู่
บนพื้นฐานความถูกต้องตามกฎหมาย  จารีตประเพณี คุณธรรม จริยธรรม
และค่านิยมที่ดีงามของไทยดังที่กล่าวแล้ว

                  ยิ่งมีคนพูดว่าให้คนไทยสมานฉันท์กัน   คำว่า สมานฉันท์ ก็คงมิได้หมายความว่าคนดี คนชั่วมาจับมือกัน
เป็นเพื่อนกัน  ยอมความกันได้เสมอไป  หากเป็นเรื่องที่ผิดและร้ายแรง 
ก็ต้องยอมรับผิดเสียก่อน สำนึกผิดก่อน จึงจะ
ให้อภัย แล้วเปิดโอกาสให้ทำความดี 

                   สมานฉันท์ จึงต้องหมายถึง คนดีกับคนดี   คนดีกับคนชั่ว  หรือคนชั่วกับคนชั่วก็ได้ที่มาร่วมกันทำความดี 
ทำสิ่งที่ถูกต้อง ได้รับการยอมรับ ถูกต้องตามหลักกฎหมายบ้านเมือง จารีต
ประเพณี หลักคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม
ที่ดีงามของสังคมไทย   ดังที่กล่าวแล้วว่าหากคนชั่วเคยกระทำความผิดมาก่อนก็ต้องยอมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น ปรับปรุง
ตนเองให้เป็นคนดีเสียก่อนจึงจะถือว่าเป็นคนดีและทำแต่ความดี   หากเป็นคนชั่วแล้วไม่ยอมรับผิดในสิ่งที่เคยได้กระทำไว้
ไม่ปรับปรุงพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีเสียก่อน  แต่เลือกที่จะมาทำความดีในปัจจุบัน ก็คงมิใช่การทำความดีอย่างแท้จริง  และ
ก็คงมิใช่การสมานฉันท์

                   ผมเขียนเรื่อง หยุดทะเลาะ กัน     แต่มาลงที่ สมานฉันท์  ก็อย่างงนะครับ เพราะการที่ใครก็ตามจะกล่าว
หรือรณรงค์ทั่วบ้านทั่วเมืองว่า
หยุดทะเลาะกัน  นั่นแสดงว่า จู่ ๆ คุณก็
กล่าวโดยไม่ให้ปัญญาแก่ผู้รับสาร  ว่า  

                   ประการที่หนึ่ง ใครกับใครทะเลาะกัน 

                   ประการที่สองที่ทะเลาะกันนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร  
                  
ประการที่สาม  ที่ทะเลาะกันน่ะ ใครถูก ใครผิด  ผิดทั้งคู่ หรือถูกทั้งคู่ เพราะอะไร  
                    และประการที่สี่  ควรจะร่วมกันแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร (บนพื้นฐานของความ
ถูกต้อง ชอบธรรม)

                   ใครกันนะ  สักกี่คนในประเทศนี้  ที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมพอที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน........
เฮ้อ
!.......เพื่อเพิ่มปัญญาให้กับคนไทย.....ให้คนไทยมีความเข้มแข็งและกล้าหาญทางจริยธรรม.....อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่ง
องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช

หมายเลขบันทึก: 276537เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2009 20:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม 2012 19:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อย่าทะเลาะกันเลย  คนไทยเดียวกัน

 

เราแตกต่าง  กันที่  แผกสีผิว    ต่างไอคิว ต่างความคิด ต่างนิสัย

ต่างฐานะความเป็นอยู่ รู้แก่ใจ  ทั้งต่างวัย ต่างกลุ่ม ขุมความคิด

 

เราแตกต่าง  เพราะว่า   ภาษาพูด  ถึงมีลิ้น  การทูต ที่ถูกจิต

 

กว่าจะได้ ศรัทธา มหามิตร  ทุกชีวิต ต้องประสาน การพูดจา

 

เราแตกต่าง วัฒนธรรม ความ เป็นอยู่  ไม่รอบรู้ประเพณี อันมีค่า

 

จึงต่างจิต ต่างใจ ไม่นำพา  บ้างล้ำหน้า บ้างล้าหลัง  ในสังคม

 

เราแตกต่าง  ศาสนาที่นับถือ   สิทธิคือ ความพึงใจ ได้เหมาะสม

 

อิสระ ศาสนาอย่างชื่นชม        ทุกข์ศาสน์ล้วน เพาะบ่ม ให้ทำดี

 

เราแตกต่าง เพราะอยู่ ต่างภูมิภาค  ภาษาจึง ยุ่งยาก บางพื้นที่

 

พูด ไทย ลาว เขมร พม่า หรือยาวี   สื่อภาษา สานไมตรี ต้องเข้าใจ

 

เราแตกต่าง กันได้ หลายหลายอย่าง แต่เชื้อชาติ ไม่แตกต่าง เลยใช่ไหม

 

ทุกคนรวม  เลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย เทิดทูนไว้ จักรีวงศ์ องค์เดียวกัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท