โรงเรียนแรกในชีวิต


อาศัย GPS เป็นเครื่องนำทาง ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่

ตั้งใจเขียนเรื่อง โรงเรียนแรกในชีวิต เพื่อ น้องครูอึ่ง ผู้บริหารโรงเรียน มงคลวิทยา เนื่องจากมีโอกาสมาสัมผัสโรงเรียนนี้ ในช่วงที่เดินทางมาปลูกป่าเอกมหาชัย ที่วัดพระบาทห้วยต้ม ระหว่าง 16-21 มิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา

มีความประทับใจอย่างบอกไม่ถูก ด้วยความรักและสนิทสนมกับน้องครูอึ่ง เหมือนลูกหลาน เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ทั้งๆ ที่รู้จักกับครูอึ่ง ครูอารามครั้งแรกเมื่อเย็นย่ำค่ำ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ต้นปีที่ผ่านมา จากวีระกรรม รับอาสาขับรถตู้จากสวนป่ามารับ Lin Hui ที่ บ้าน(โคราช) ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักเส้นทาง แต่อาศัย GPS เป็นเครื่องนำทาง ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่จึงทะเลาะกับเครื่องนำทางมาอย่างสนุกสนาน เลยเลิกใช้ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นปากนำทาง ในที่สุดก็มาถึงจนได้ จำภาพที่ครูอึ่งนั่งคุกเขา อ้อนวอนขอให้เดินทางไปสวนป่า กับรถตู้ที่มารับ ซึ่งครูอารามเป็นผู้ขับ และมีน้องราณีนั่งมาเป็นเพื่อนอีกคน แต่ทั้งสามคนไม่เคยมาโคราชเลย ครูอารามขับรถมาจากลำพูน ไปสวนป่า มาโคราช ทั้งๆที่ไม่สบายเป็นไข้ เสียงอ้อนที่จริงใจจาก ครูอึ่ง : ถ้าอาจารย์ไม่ไป หนูก็จะไม่กลับไปสวนป่าเหมือนกัน แค่นั้นเอง หัวใจแถบสลาย

http://lanpanya.com/dd190751/files/2009/05/dd_mem041-1.jpg

จิ๊กรูปจากครูอึ่งมา

นับตั้งวันนั้มา ครูอึ่งชวนทำอะไรทำหมด และอาจเป็นด้วยเรามีเชื้อสายจีนเป็นทุน จึงเข้าใจวัฒนธรรมพื้นฐานของการดำรงค์ชีวิต แบบคนไทยเชื้อสายจีนที่รักแผ่นดินเกิดยิ่งชีวิต อุทิศตนสร้างคน ช่วยชาติอย่างสุดความสามารถตลอดมา

เมื่อวัยเด็ก Lin Hui เข้าเรียนครั้งแรกในชีวิต รียนโรงเรียนราษฎร์ คือโรงเรียนที่ ราษฎรจัดขึ้นสนองความต้องการ การศึกษา ของ ราษฎรในพื้นที่ มีอาคารเรียนที่มีพื้นเหมาะสม ต่อจำนวนลูกหลานของราษฎรที่นั่น ได้นั่งเรียนอย่างสบาย อากศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อนรอบๆ โรงเรียนมีสวนยางพรารา มีพื้นที่โล่งกว้างพอที่จะให้ลูกหลานใช้พื้น ในการวิ่งเล่นออกกำลังกายระหว่างหยุดพักเรียน ทั้งภาคเช้าภาคบ่าย โรงเรียนแห่งแรกในชีวิต คือ “โรงเรียนจงหัว” เป็นโรงเรียนจีน  ในจังหวัดสตูล ระบบ การเรียนการสอนเป็นสองภาษา ภาคเช้าเรียนภาษไทย ภาคบ่ายเรียนภาษาจีน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สร้างพื้นฐานการศึกษาอย่างแข็งแกร่ง ให้แก่ Lin Hui นับเป็นการวางแผนการศึกษาที่ชาญฉลาดและลึกซึ้งของป๋า เพราะไม่เพียงแต่การศึกษาที่ได้รับอย่างสมบูรณ์ แต่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งของจีนที่มาจากแต่ภูมิภาคของจีน ซื่งส่วนใหญ่ ก็จะเป็น จีน ฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว แคะไหหล้ำ  อิสลาม ก็มีปากีสถาน  ส่วนมาลายู ก็มีเชื้อสาย ตั้งแต่ระดับเจ้าผู้ครองรัฐ จนถึงคนทำงานอาชีพต่างๆ  รับจ้างกรีดยาง ส่วนคนไทยมีตั้งแต่ ผู้ดีจากเมืองหลวง นักโทษการเมือง ข้าราชการ ตำรวจ และคนพื้นเมือง อยู่ร่วมกันอย่าง กลมกลืนมีความสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ได้เรียนรู้ขนมธรรมของแต่เชื้อชาติ ด้วยการร่วมกิจกรรม ทั้งพุทธ คริตส์ อิสลาม พุทธขงจื้อ

พวกเชื้อสายจีนก็เรียนโรงเรียนจีน แต่ลูกข้าราชการบางคนก็มาเรียนโรงเรียนจีนด้วย เช้ามาก็เดินไปโรงเรียน ผ่านบ้านนักเรียนที่อยู่ในแถวเดียวกันก็แวะรับ และเดินไปโรงเรียนด้วยกัน เด็กๆ จะรู้จักทั้งโรงเรียน และสิ่งที่สำคัญคือ ใครโตสุดก็รับหน้าที่ดูแลน้องๆ ในแถวเพื่อเดินไปโรงเรียนและกลับจากโรงเรียน อย่างปลอดภัยทุกวัน การจัดแถวเคารพธงชาติ จะจัดแบบคละชั้น ถ้ามีแถวสิบแถว ให้นับหนึ่งถึงสิบของแต่ละชั้นเรียน แล้วไปเข้าแถวตาม ตัวลขที่นับได้ ถ้ายังเล็กอยู่คุณครูจะช่วยจำให้ ฉะนั้นแต่ละแถวจะมีทุกชั้นเรียน หลังจากเข้าแถวเรียบร้อย จะได้ยินเสียงนกหวีด ปิ๊ดปี่ปิด มีคุณครู เป็นผู้นำออกกำลังกายตอนเช้า เพื่อนกระตุ้นกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ให้พร้อมเพื่อใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดทั้งวัน จากนั้นจะมีคุณครูใหญ่จะมาเล่าเรื่องดีๆ ให้ฟังทุกวัน สั้นๆ เน้นความซื่อสัตย์ ความกตัญญู และมอบรางวัลเด็กดี เป็นตัวอย่างที่ดี ในแต่ละด้าน หรือแม้แต่ข่าวที่สำคัญๆ ที่ควรรู้จะได้กลับไปบอกพ่อแม่ที่บ้านด้วย หลังจากนั้นเชิญธงชาติร้องเพลงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ แล้วแยกย้ายเข้าห้องเรียน ลืมบอกไปว่าการจัดแถวเรียงตามความสูงจากน้อยไปหามาก คนตัวเล็กอยู่หน้าสุดค่ะ การเข้าห้องเรียนเดินที่ละแถวอย่างเป็นระเบียบ วิชาแรกเป็นเลขคณิต ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นเลขคิดในใจ 10 ข้อ คุณครูอ่านโจทย์ให้ฟังสองรอบ แล้วให้เวาลาเล็กน้อยเพื่อคิดแ้ล้วเขียนคำตอบลงในกระดาษ จนครบ 10 ข้อ จากนั้นให้แลกกันตรวจกระดาษคำตอบ คุณครูจะเฉลยคำตอบพร้อมคำอธิบาย ใครได้เต็ม หรือคะแนนสูงสุดประจำอาทิตย์จะได้รับรางวัล ซึงก็เป็นของเล็กๆ น้อยแต่ก็สร้างความภาคภูมิใจมาก จากนั้นก็เรียนเลข แล้ววิชาอื่นๆ ตามตารางสอน บางคนสงสัยว่าชั้นขี้หมูไหล จะเรียนเลขคิดในใจได้หรือ ได้ซิโจทย์จะเป็นนิทานสั้นๆ เกี่ยวกับสัตว์   ดอกไม้ ผลไม้ถามจำนวน อะไรทำนอง นั้น จะมีพัก 15 นาที ให้เด็กๆ ออกไปวิ่งเล่น จากนั้นก็มาเรียนต่อ จนพักกลางวัน ตอนนี้พ่อแม่ก็จะนำอาหารมาให้ลูกๆ กินเที่ยงแบบร้อนๆ ภาคบ่ายก็จะเรียนภาษจีน ทุกอย่างเป็นภาษาจีนหมด เด็กๆ เวลาคุยนอกห้องเรียนก็จะคุยกันด้วยภาษาฮกเกี้ยน บ้าง แคะบ้าง  พอเข้าชั้นเรียนทุกอย่างเป็นภาษาจีนกลางหมด พอหยุดพักก็ใช้ภาษาจีนของครอบครัว จะมีสารวัตร มาคอยจดชื่อคนที่หลุดพูดภาษาไทย ส่งให้คุณครู ซึงการทำโทษคือให้คัดภาษาจีนในห้องเรียน ตอนหยุดพัก 15 นาที  ที่โรงเรียนนี้จะมีผู้ปกครองทุกสาขาอาชีพ มาช่วยกันดูแล สนับสนุนโรงเรียน ทันตแพทย์ก็จะมาตรวจสุขภาพฟันเด็กๆ ฟรี ส่วนแพทย์พยาบาลก็จะมาฉีดวัคซีนป้องกันโรค ปลูฝี เป็นต้น ข้างๆ โรงเรีนน มีศาลเจ้าจีนแบบฮกเกี้ยน ซึ่งเรียกว่า อังก่องอำ ทุกวันจะมีคนมาไหว้ เวลาเทศกาลก็จะสนุกมาก ได้เรียนรู้อะไรมากมายแถมอิ่มท้อง เพราะพ่อแม่มาทำบุญ ลูกหลานก็อิ่มแปล้ พอเลิกเรียนตอนเย็นก็จะได้ยินเสียงนกหวีด เรียกแถว ซึ่งจะเข้าแถวเหมือนตอนเช้า เมื่อเรียบร้อยก็ปล่อยแถวกลับบ้านที่ละแถว เดินเรียงกันยาวเป็นสาย จะส่งคนในแถว ๆ ก็จะค่อยๆ สั้นลงๆ จนหมดจนแถว เด็กๆ กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยทุกคน

เอาเป็นว่าเล่าให้ฟังแค่นี้ก่อนค่ะ หากมีคนสนใจก็จะเล่าต่อในเรื่องที่สำคัญๆ ที่ยังจำได้

หมายเลขบันทึก: 275679เขียนเมื่อ 11 กรกฎาคม 2009 21:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เรียนโรงเรียนจีนเหมือนกันค่ะ แต่ว่าเวลาเด็กๆคุยกันจะพูดภาษาอีสานค่ะ

ทำนองว่า "ลื้อจะเหล่นดีดเม็ดอีแต้กับอั๊วบ่" ค่ะ

เพิ่งทราบว่าน้องใบบุญ เรียนโรงเรียนจีน เหมือนกันค่ะ นับว่าโชคดีค่ะเพราะได้เรียนโรงเรียนอินเตอร์ในสมัยนั้น ...อิอิอิ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท