หอการค้าจังหวัดสงขลา ได้จัดประชุมร่วมกับผู้ประกอบการ และผู้ได้รับผลกระทบการสร้างด่านศุลกากรแห่งใหม่ เนื่องจากด่านศุลกากรอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นด่านศุลกากรในการส่งออกสินค้าเป็นอันดับต้นๆ รองลงมาจากท่าเรือแหลมฉบัง และเป็นด่านพรมแดนที่ชาวไทย ชาวต่างชาติรวมถึงชาวมาเลเซียใช้ผ่านเข้าออกปริมาณปีละเกือบล้านคน
หากผู้ใดที่เคยผ่านเข้าออก บริเวณดังกล่าวจะเห็นความบกพร่อง ของราชการไทยในอดีต ที่ขาดการเตรียมการและการบริหารจัดการที่ดี ที่ปล่อยปละละเลยให้ชาวบ้านเปิดร้านขายของจนติดชิดด่าน ทำให้เกิดการแออัด เป็นอเมซิ่งหนึ่งของเมืองไทย ที่ด่านศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมืองหนึ่งในโลกที่มีร้านรวงค้าขายของจนติดประชิดด่าน
มาเลเซียกำลังก่อสร้างด่านศุลกากรใหม่ที่บ้านดุเรียนบุหรง ฝั่งตรงข้าม บ้านประกอบ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นศูนย์กลางของระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนส์ ของมาเลเซียตอนเหนือ เมือก่อสร้างทางมาเลเซียขีดวง และตั้งกองกำลังทหาร หนึ่งกองพัน เพื่อดูแลรอบบริเวณการก่อสร้างป้องกันการบุกรุกของชาวบ้าน
แต่ฝั่งไทยบริเวณบ้านประกอบทุกวันนี้ยังไม่ได้ทำอะไร เห็นว่าติดขัดการเวณคืนที่ดินยังไม่เรียบร้อย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ตั้งงบก่อสร้างไว้ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา (ดร.สนธิ เตชานันท์) ได้รับปากกับทางมาเลเซีย ว่าจะพยายามเปิดด่านให้ได้ แม้ว่าต้องเอาตู้คอนเทนเนอร์ดัดแปลงเป็นสำนักงานชั่วคราวก็จะทำ
ด่านนี้หากเปิดขึ้นมาสินค้าจากปัตตานี ยะลา นราธิวาส จะสามารถส่งออกไปยังท่าเรือบัตเตอร์เวิร์ต และท่าเรือคลัง ของมาเลเซียได้อย่างรวดเร็ว แต่หากทางไทยไม่ได้วางแผน และบริหารจัดการดีๆ ผมกลัวว่าด่านนีจะไป อเมซิ่ง เหมือนด่านสะเดา
เนื่องจากทางกายภาพของด่านสะเดาไม่สามารถจะแก้ไขได้แล้ว ทางการจึงดำริจะเปิดทำการด่านใหม่บริเวณใกล้เคียงกับด่านเดิม โดยกันเนื้อที่ประมาณ 700 ไร่ ตอนนี้ชาวบ้านปลูกยางพาราอยู่ประมาณ 40 ครอบครัว ทางหอการค้าสงขลาจึงขอรับฟังความเห็นของชาวบ้านและผู้ประกอบการ เพื่อทำการผลักดันผ่านทางรัฐบาลต่อไป ความเห็นร่วมทุกฝ่ายสนับสนุนการขยายทำด่านใหม่ แต่ขอให้ชดเชยค่าอาสิน ต้นยางพาราให้ชาวบ้านให้เป็นธรรม
หลังจากรับฟังที่ประชุมเสร็จ ทางคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดสงขลาได้เดินทางไปดูบริเวณด่านสะเดา ได้เห็นความคับคั่งของการเข้าออกบริเวณด่าน และได้พบผู้กำกับตรวจคนเข้าเมืองสะเดา ท่านชี้ให้ดูประตูรั้วที่กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย ท่านเรียกว่าประตูเปลี่ยนนิสัย เพราะคนไทยเมื่อพ้นประตูนี้เข้าไปในมาเลเซีย คนขับรถเวลาอยู่ในเมืองไทยไม่เคยคาดเข็มขัดนิรภัย แต่พอพ้นประตูนี้ออกไปจะคาดเข็มขัดทันที(โทษปรับในมาเลเซีย คิดเป็นเงินไทย ห้าพันบาท) แต่พอกลับเข้าเมืองไทยก็กลับไปเหมือนเดิม รวมทั้งคนมาเลเซียอยู่ในประเทศจะเคารพกฎหมายเต็มที่ แต่พอพ้นประตู้นี้เข้ามานิสัยก็จะเปลี่ยนทำทุกอย่างที่ไม่เคยทำในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการคาดเข็มขัดนิรภัย การทิ้งสิ่งของ(ขยะ)ออกมาจากรถ เป็นอีกอเมซิ่งหนึ่ง ประตูเปลี่ยนนิสัยครับ
สิ่งที่เห็นได้ก็คือการบังคับใช้กฎหมาย ในประเทศมาเลเซีย การบังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดกว่าเมืองไทยเรา แล้วเมื่อไรหนอประเทศไทยจะมีการบังคับใช้กฎหมายได้เคร่งครัดบ้าง
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณ ครูคิม
ขอบคุณ คุณลีลาวดี
ที่แวะมาเยือน
ขอเป็นกำลังใจให้ครูคิม
ไม่ทราบว่าคุณลีลาวดี จะเอาบานผ่านเข้าไทย หรือผ่านเข้ามาเลเซีย ครับ
สวัสดีครับ คุณวัชรา ทองหยอด
คงต้องช่วยกันทุกภาคส่วน
ผมเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ขจิต
ต้องเริ่มแต่ที่บ้าน
และโรงเรียน
ช่วยกันครับ ช่วยกัน
ท่านอ.ขจิตครับ
ขอเห็นแย้ง
ระบบการจัดการเราสู้เขาได้ แน่ๆ
แต่คน ของเรา ครับ
ที่ไม่ค่อยเอาไหน
เห็นด้วยกับอาจารย์ครับ
ที่ต้องเริ่มสอนคนของเราตั้งแต่อยู่ในท้องครับ
มาชม
มาเชียร์
มีมุมมองน่าสนใจนะครับผม...
ขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ยูมิ ครับ
ผมก็ติดตามงาน ท่านอาจารย์ อยู่ครับ
ท่าน อาจารย์ JJ ครับ
เริ่ม ตรงไหนดีครับ
ขอบคุณ อ.นงนาท สนธิสุวรรณ ครับ
ทุกวันนี้สอนหนังสือ พยายามปลูกอยู่ครับ
เข้ามาทักทายครับ
ขอบคุณ คุณแสงรุ้ง ครับ
แวะมาขอบคุณอาจารย์ที่ไปเยี่ยมขอรับ..
..กฏระเบียบมีไว้ให้.ละเมิด..ยังใช้ได้กับสังคมไทยขอรับอาจารย์..
นมัสการพระคุณเจ้า
ทำอย่างไร
จะขัดเกลากิเลส
ตัวนี้ให้เบาลงได้บ้าง
เรียน ท่านอาจารย์คนใต้โดยภรรยา
นุชเข้าตามมาดู "ประตูเปลี่ยนนิสัย" เพื่อนำไปปรับปรุง "ตามหา จิตสำนึก" สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับพื้นเพของนิสัย (นิสัยลึกๆ และมีมาอย่างยาวนาน) จริงๆ นะคะเนี่ย
คุณน้องนุชครับ
พื้นเพของนิสัย(นืสัยลึกๆและมีมาอย่างยาวนาน)
เวลาคนไทยผ่านประตูเข้าไปเมืองเขา เราทำตามกฎหมายเขาทุกอย่าง เพราะกลัวเนื่องจากโทษปรับของเขาสูง และเขาบังคับใช้กฎหมายจริงจัง
คนของเขาอยู่ในประเทศ ก็อยู่ในกรอบ แต่พอผ่านประตูนี้มา และเลยครับ