แตงไทย
นฤมล ชื่อเล่น "แตงไทย" (สำหรับครอบครัว), "แตงอ่อน" (สำหรับเพื่อนๆ), "I tang" (สำหรับพี่ๆ ทั้งหลาย) จันทรศรี

เรา (ยัง) มีทางเลือก by ล.เล้ง


 

 
เว็บศูนย์รวม "โยคะสารัตถะ

เรา (ยัง) มีทางเลือก

ขียนโดย ;
ล.เล้งเสียงกระดิ่งหยก (ไม่ใช่มังกรบิน)

โยคะสารัตถะ ฉ.; พ.ค.'๕๒
  

๑.    ปวดหัว
.

ก. กินยาพาราฯ ๒ เม็ด ดื่มน้ำตาม ในกรณีรีบด่วน

ข. ไปสระผมที่ร้านตัดผม  ปล่อยให้มือนุ่มๆ ของช่างสระผม ดำเนินการปลดปล่อยความเครียด และ อาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาท...ให้คลายออก  ให้น้ำเย็นๆ ชำแรกผ่านเส้นผมไปยังหนังศีรษะ  ปล่อยตัว...ปล่อยใจให้สบาย (ราคาไม่เกิน ๑๐๐ บาท) 

ค. ไปนวดหน้าที่ร้านเสริมสวย หรือที่เคาน์เตอร์เครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า แล้วแต่ว่าที่ใดจะใกล้กว่า (ที่ห้างเอมพอเรียม สุขุมวิท ๒๔ มีห้องนวดหน้าเฉพาะ อยู่ที่ชั้นใต้ดิน)  เผลอๆ ได้หลับไปสัก ๑ งีบ ก่อนกลับมาโหมงานที่นอนรอเป็นตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน (ราคาก็เป็นไปตามยี่ห้อ เครื่องสำอาง ถ้าเป็นคลาเร็นของฝรั่งเศส ก็แพงหน่อย แต่หอมดี   คนขายเอสเต้ ลอเดอร์ก็นวดเก่ง  แต่ถ้าเจอคนขายที่นวดไปก็พูดไป...ไม่ยอมหยุด...ก็แย่หน่อยนะ)

ง. นั่งรถไฟฟ้า ไปหาหมอจีนชื่อหยาง ฉวน หย่วน ที่ รพ.หัวเฉียว แผนจีน ตรงข้ามตลาดโบ๊เบ๊ นวดหัว - บ่า - ไหล่ แล้วเอางานที่ค้างอยู่กลับไปทำต่อที่บ้าน  โชคดีได้เจ้านายใจดี ให้ส่งงานกลับมาทางอีเมล์l ได้  (ราคา ๕๐๐ บาท โดยประมาณ)

จ. เอาใบย่านาง(ที่กินกับหน่อไม้) และ ใบหมอน้อย (ใบรูปหัวใจ มีขน)  ขยำกับน้ำเปล่า แล้วเอาน้ำที่ได้มาโปะหัว...ทาผมให้ทั่วๆ...เอาผ้าคลุมผม  จากนั้นไปนอนพัก ๓๐ นาที  กากที่เหลือเอามาโปะหน้าผาก หรือที่เปลือกตา (ถ้ามีต้นไม้ทั้ง ๒ อยู่ในบ้านแล้ว ก็ไม่เสียเงินสักบาท ...ถ้าไปซื้อที่ตลาดมีแต่ย่านางกำละ ๕ บาท หมอน้อยไม่มีขาย...ถ้าหาอะไรไม่ได้เลย เอาแตงกวา กับผักบุ้ง..ตำเอา หรือใส่เครื่องปั่นก็น่าจะได้...ยังไม่เคยใช้...ใครใช้แล้วช่วยมารายงานผล ด้วย)

 

 ๒. ร้อนใน ...

ก็เลยเป็นแผลในปาก  ตกดึกต้องลุกมาเข้าห้องน้ำช่วงตอน ๔ ทุ่ม ถึง ตี๒ รบกวนเวลานอน นอนหลับก็ไม่สนิท ตื่นมาเพลียๆ  หนังตาหนักๆ แบบคน...นอนเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ  กลางวันก็หิวน้ำบ่อย กินน้ำบ่อย เข้าห้องน้ำบ่อย  หูอื้อ...ฟังอะไรก็ไม่ค่อยได้ยิน นึกว่าน้ำเข้าหู เอาไม้พันสำลีไปเช็ดก็ยังไม่ได้ยิน

 ก. ไปหาหมอครั้งแรกเพราะหูอื้อ หมอเลยดูขี้หูออก โดนไป ๕๐๐ บาท...ผ่านไปอีก ๓ เดือน หูอื้ออีกแล้ว  หมอบอกว่าจะให้กินยาช่วยลดการผลิตขี้หู  เพราะคนปกติเค้ามาดูดขี้หูกัน ๖ เดือนครั้ง นี่มันแค่ ๓ เดือนเอง ทำไมขี้หูมันถึงได้ผลิตกันเร็วนัก...ไม่อยากกินยาเลยบอกหมอว่าอย่าสั่งยาเลย...หมอน่ารัก...ยอมตามคำขอ อยู่ไปอีก ๓ เดือน หูอื้ออีกแล้ว คราวนี้มีของแถม  เจอตัวอ่อนของเชื้อราด้วย...อี๋....  ครั้งนี้ค่าดูดขี้หู และค่ายาแก้เชื้อรา รวมทั้งยาละลายขี้หู ปาเข้าไป ๗๐๐ บาท

 ข. กินยาจีน แก้ร้อนใน Zhi Pai Pa Wei Yuan  วันละ  ๒๔ เม็ด  กินไป ๔๐๐ เม็ด ถึงจะครบสูตร ในระหว่างที่กินยา ถ้าอาการดีขึ้น ก็กินบ้างไม่กินบ้าง  หมอก็รู้...แต่ไม่เห็นว่าอะไร (ค่ายาขวดละ ๑๐๐ บาท มียาจำนวน ๒๐๐ เม็ด)

 ค. กินผักฤทธิ์เย็น  เช่น ย่านาง แตงกวา  ผักบุ้ง น้ำเต้า บัวบก เฉาก๊วย หยวกกล้วย ใบเตย หาอะไรไม่ได้เลยกินถั่วเขียวไม่ใส่น้ำตาลก็ได้ (ถือว่าเป็นค่าซื้อกับข้าวประจำวัน เลยไม่นับรวมเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค...ก็แล้วกันนะ)

 ง. ไปหมักโคลนเย็นๆ ไปแช่สะโพกในน้ำ แบบที่ประเทศอินเดียเค้าชอบทำกันในโรงพยาบาลธรรมชาติบำบัด ถ้าเป็นแบบคนไทยก็มี...เอาดินสอพอง ผสมน้ำแช่ผงถ่าน และ น้ำซาวข้าว โปะหน้าแก้สิว  แต่ถ้าทิ้งไว้นานเกินไป ระวังผงถ่านเข้าไปอุดรูขุมขน...ทำให้หน้าดำ...ซึ่งก็ไม่ดำถาวรหรอก...อีกสักพักก็หาย (ปลอบใจ)

 จ. ในที่สุดแล้ว เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็ได้เวลาไปค่ายธรรมชาติบำบัด  ๑๐ วัน (เดือนเมษายน) ที่บ้านหมอเขียวจังหวัดมุกดาหาร มีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ารถ และค่าชอปปิ้ง นอกนั้นก็แล้วแต่ว่าใครจะบริจาคช่วยกันตามกำลังศรัทธา  เพราะชาวบ้านบางคนแค่หาค่ารถมาให้ได้  ก็ลำบากแล้ว   ผ่านไป ๑๐ วัน อาการร้อนในก็ดีขึ้น แถมน้ำมูกที่มีทุกเช้า ก็ลดลง

 

 ๓.    เครียดจากการทำงาน ปวดท้อง...เป็นโรคกระเพาะ

 บางคนกระเพาะก็เป็นรู ที่เรียกกันว่า... Ulcer แล้ว ...บางคนก็ลำไส้พันกัน... ตื่นมาอาเจียนทุกวันตอนตี ๒ (ช่วงกระเพาะหลั่งน้ำย่อย แต่ไม่มีอาหารให้ย่อย มันเลยย่อยผนังกระเพาะอาหารซะเลย)  นอนไม่หลับเพราะปวดท้อง  บางทีก็เก็บเอางานมาฝันต่อ มีงานและเจ้านายเป็นผี...คอยหลอกหลอนทั้งยามหลับและยามตื่น

 ก. กินยาแก้โรคกระเพาะ ตั้งแต่ Alamilk à Miracidà Ulsanicà Omeprazole  กินมานานหลายเดือนไม่หายสักที (จริงๆ กินมาตั้งแต่อายุ ๒๐ แล้ว... ไม่อยากนับเลยว่ามันกี่ปีแล้ว) หมอเลยบอกให้ไปทำ Gastro scope ส่องกล้องเข้าทางปาก ไปแอบดูข้างในกระเพาะสักหน่อย  ทำไมดื้อ-ด้าน ไม่ยอมหายสักที  ส่องไปเจอแบคทีเรีย ชื่อ H. Pyroli เอ้า! เอายาฆ่าเชื้อไปกินอีก ๓๐ วัน กว่าเชื้อโรคจะตาย คนกินอาจตายก่อน (ค่ารักษามากมายมหาศาล จนคิดไม่ถูก และ พอดีบริษัทประกันฯ จ่ายให้ เลยไม่ได้คิดเอาไว้...แค่ส่องกล้องอย่างเดียวก็เป็นหมื่นแล้วมั้ง)

 ข. ลดเวลาทำงานจาก ๗ วัน เป็น ๕วัน หรือแค่เสาร์-อาทิตย์ ๒วัน...ถ้าคุณเป็นหมอฟัน ดีเจ หรืออาชีพอื่นที่เลือกเวลาทำงานได้ 

 ค. ฝึกโยคะทุกวันหลังเลิกงาน  เพื่อปลุกระบบประสาทผ่อนคลาย (Parasympathetic Nervures System) ให้ฟื้นคืนชีพ  และบอกตัวเองทุกวันว่า ...เลิกงานแล้ว...พักได้แล้ว  ถึงคิดและเครียดต่อ...ก็ไม่ได้โอที แล้วจะคิดไปทำไมว้า

 ง. เดินไปตลาด ซื้อกระเจี๊ยบเขียว ๑๐ บาท มาต้มกิน  กินมันฝรั่งต้มบ้าง กล้วยน้ำว้าดิบ ทั้งที่เป็นแบบกล้วยสด และที่เป็นแคปซูลของสันติอโศกก็ได้ แต่กินมากระวังท้องอืด ต้องกินขมิ้นชันเข้าไปช่วยย่อย  บางคนก็ว่าขมิ้นชันก็รักษาโรคกระเพาะได้  เลิกกินของทอด ของมัน และเนื้อสัตว์ (ชั่วคราว) เพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารทำงานน้อยลง  มันจะได้พักผ่อนเสียบ้าง

 จ. ลาออกจากงาน...อันนี้ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะไม่มีงานก็ไม่มีเงิน...เดี๋ยวจะเป็นโรคซึมเศร้าแทนโรคกระเพาะ ยกเว้นว่า  ถ้าทำงานต่อไป ไม่ไหวจริงๆ ก็รักษาชีวิตเราเอาไว้ก่อนดีกว่า...บริษัทคงไม่เจ๊ง เพราะไม่มีเราหรอก  อย่าสำคัญตัวเองผิดขนาดนั้น...

 

 ๔.   เจ็บตา เพราะตาแห้ง

 จ้องจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป  ยิ่งทำงานในห้องแอร์ยิ่งตาแห้ง 

ก. ไปหาหมอตา เอาน้ำตาเทียมมาหยอด  หยอดไปหยอดมาหลายอาทิตย์ก็ไม่หาย ก็เพราะยังทำงานเดิม และ ที่เดิม (ที่ที่เป็นทางออกของช่องแอร์  คนที่อยู่ในอาคารที่ใช้ระบบแอร์รวม คงจะรู้ว่า ตำแหน่งนี้หนาวเย็นและความแรงของแอร์ ประมาณน้องๆ ขั้วโลกเหนือทีเดียว...เอากระดาษไปปิดก็ไม่ได้ ชาวบ้านแถวนั้นเค้าบ่นว่าร้อน...เฮ้อ! กรรมเวรจริงๆ)

จากอาการตาแห้ง เริ่มเข้าสู่ระยะปวดกระบอกตา จากนั้นเริ่มปวดทั้งหัว(ศีรษะ) และ ตาทุกวันที่ต้องมาทำงาน จนหมอไม่รู้จะรักษายังไงเลยให้กินยาแก้ปวดไว้ตั้งแต่ก่อนนอน (หมอเรียกว่า...ยากันปวด...ไม่ใช่ยาแก้ปวด...แล้วมันต่างกันตรงไหนกันนะ...พระเดชพระคุณ)  เดินเข้าเดินออก รพ.อยู่ ๖ เดือน หมอตา...คงเบื่อหน้า เลยส่งไปให้หมอศัลยกรรมประสาทเค้าสแกนสมอง เป็นการสแกนแบบต้องฉีดสีเข้าไปก่อน เนื่องมีประวัติเป็นภูมิแพ้ แพ้ทั้งอากาศและ อาหารทะเล หมอกลัวแพ้สีที่ฉีด จึงต้องไปกินยากดภูมิไว้ก่อน ๗ วัน ถึงจะมาฉีดสีเข้าไปในร่างกายได้

เฮ้อ! ยิ่งรักษายิ่งหมดแรง แต่ก็ต้องรักษาต่อไปเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้    (นอกจาก...เลิกทำงาน  วันไหนอยู่บ้าน ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ ไม่อยู่ห้องแอร์ ไม่เห็นมันจะเจ็บตาเลย) 

ในที่สุด...ได้สแกนแล้ว ...แอ่น แอน แอ้น...แต่ไม่เห็นเจออะไร...เอาน่า ไม่เจออะไร ก็ดีแล้วนี่...อยากให้เจอพยาธิในสมอง...แบบพี่ที่ทำงานโต๊ะข้างๆ หรือไงกัน  สรุปว่าเดินเข้าเดินออก รพ. อยู่ ๖ เดือน ก็รักษาไม่หาย จนในที่สุด เลิกทำงานในสำนักงานแล้ว ได้เวลาพักตา มันก็หายเจ็บเอง เย้!!!  แต่ถ้าใช้คอมพิวเตอร์เยอะๆ อีก มันก็เจ็บอีก

ข.  ไปค่ายหมอเขียว (ค่ายธรรมชาติบำบัด ตอนนี้มีชื่อใหม่ว่า เป็นค่ายรักษาโรควิถีพุทธ)  กินอาหารฤทธิ์เย็น เลิกกินอาหารฤทธิ์ร้อน(ชั่วคราว)  และทำอะไรอีกหลายอย่างเพื่อขจัดพิษร้อนออกจากตัว  ไปค่าย ๕ วัน อาการเจ็บตา (และเจ็บคอ) ก็ดีขึ้น แต่ต้องระวังว่าจะท้องอืด เพราะ เจอฤทธิ์เย็นเกินไป จากร้อนตีกลับเป็นเย็น  ใครเคยอ่านหนังสือกำลังภายในคงคุ้นเคยกับสำนวนแบบนี้ดี   ไปค่ายหมอเขียวมา ๖ ครั้ง ปรับไปปรับมา (สมดุล ร้อน-เย็น) จนพอรู้ทางกันว่า ถ้าเราร้อนไป...ต้องแก้ยังไป ถ้าเย็นไปต้องทำยังไง

พื่อนบางคนก็ว่าดี มีเซนเซอร์ที่ละเอียด คอยตรวจจับ อาหารที่ไม่ดีกับร่างกาย เช่น ผงชูรสในอาหาร พอกินพวกของทอด แฮมเบอร์เกอร์ บะหมี่ซองฯลฯ  ก็จะเป็นตุ่ม เป็นผื่นขึ้นที่ผิวหนัง...เรียกกันว่าร่างกายขับพิษออกมา...เค้าก็ให้เอายาหม่อง หรือน้ำมันเขียวที่ได้มาจากค่ายทาลงไป...แล้วทั้งตุ่มทั้งผื่นก็จะยุบลง   

บางคนก็ว่าละเอียดขนาดนี้ไม่ดี น่ารำคาญ...  ก็ว่ากันไป...  แต่พอ ออกจากค่ายมาได้สักระยะ อาการละเอียดเกินเหตุนี้ก็อาจจะบรรเทาลง  

สำหรับ คนที่เป็นมะเร็ง เนื้องอก เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง  และอีกหลายโรคที่รักษาไม่หาย แล้วรู้สึกว่าการดูแลตัวเองตัวเองแบบหมอเขียวทำให้อาการดีขึ้น (ซึ่งมีจำนวนมากกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์)  ก็จะใช้วิธีการ โด๊ปยาเย็นต่อไป  เพราะมันเป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายน้อย และ ไม่ต้องเข้าแถวรอหมอตรวจที่ รพ. เป็นชั่วโมง แล้วก็ได้ตรวจแค่ ๕ นาที 

สำหรับคนที่ใช้วิธีนี้รักษาแล้วไม่ได้ผล เราก็จะไม่เจอเค้าอีกต่อไป (ฮา)

ใครสนใจอยากรู้รายละเอียดในการไปค่ายหมอเขียว (ซึ่งเค้าไม่เก็บเงินค่าใช้จ่าย ยกเว้นว่าเราจะบริจาคเอง ตามศรัทธา)  ก็โทรไปถามน้องบอมบ์ที่สำนักงานได้ น้องบอมบ์ก็ไปมาแล้ว แต่ระวังว่าบอมบ์จะชวนให้ซื้อของ...เป็นค่าตอบคำถามนะ (ฮา)  แต่เวลาจะสมัครไปค่ายจริงๆ ต้องโทรศัพท์ไปจองที่ โรงพยาบาลอำนาจเจริญ โทร ๐๔๕-๕๑๑๙๔๑-๙ ต่อ ๑๒๒๑



มูลนิธิหมอชาวบ้าน

2220/101 ซอยรามคำแหง 36/1  ถนนรามคำแหง  แขวงหัวหมาก  
เขตบางกะปิ  กรุงเทพฯ  10240  
โทรศัพท์  02-732-2016 - 17, โทรสาร 02-732-2811 มือถือ 081-401-7744 ; 
E-mail: [email protected] ; www.thaiyogainstitute.com

หมายเลขบันทึก: 274619เขียนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2009 00:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท