ขอเชิญร่วมเวทีเสวนาการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล


 

                ตามที่ บริษัทฟ้าฮ่าม จำกัด  จะสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล บนพื้นที่ 73 ไร่ บริเวณบ้านใหม่ดินแดง หมู่ 11 ตำบลกลางเวียง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน  ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ตรงกันข้ามกับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์น่าน  เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขนาดเล็ก กำลังการผลิต 0.5 เมกกะวัตต์ หรือ 500 กิโลวัตต์  และมีกลุ่มนักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์น่าน คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลดังกล่าว นั้น

 

                                ศูนย์ประสานงานเครือข่ายสื่อมวลชนจังหวัดน่าน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดน่านจะจัดเวทีเสวนาการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลขึ้น  เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน  ถึงการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลว่ามีผลดีผลเสีย ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประโยชน์ที่จะได้รับอย่างไรบ้าง  จึงขอเชิญท่านเข้าร่วมเวทีเสวนา ในวันที่    6   กรกฎาคม   2552  เวลา 09.30 -12.00 น. ห้องประชุมสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดน่าน ถนนหน่อคำ  อำเภอเมือง จังหวัดน่าน   

                         

ฝ่ายเลขานุการศูนย์ประสานงานฯ                  

โทร 054-771025  โทรสาร ต่อ 18

E – mail : [email protected]

 

http://www.eppo.go.th/nepc/index.html

                                                                                                                   

 

                                                                    

 

 

หมายเลขบันทึก: 273914เขียนเมื่อ 6 กรกฎาคม 2009 11:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 16:34 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดีคะ Mr.Tanu

การสัมมนาเป็นอย่างไรบ้างคะ

หวังว่าคงมีโอกาสบอกเล่าผ่านบันทึกนะคะ

จะรอติดตามคะ

---^.^---

คุณพิมพ์ดีดครับ

ผมเองไม่ได้ไปนั่งที่ สวท.น่าน แต่ได้เปิดวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.น่าน คลื่น เอฟ เอ็ม 94.75 รับฟังต่อเนื่อง เหตุที่ไม่ได้ไปเพราะเรือที่เด็ก เยาวชน ที่ฝ่ายกีฬาเรือพาย สมาคมกีฬาแห่ง จ.น่าน ซึ่งผูกไว้ริมน้ำไหลไป จำนวน 3 ลำ พวกเราจำเป็นต้องประสานและติดตาม ตกลง ณ เมื่อวานนี้ได้คืนมา 1 ลำเป็นเรือ 12 ฝีพาย ยังติดตามอีก 2 ลำเป็นเรือ 5 ฝีพาย

การได้รับฟังการเสวทนา ทำให้ผมได้ทราบว่า ที่ จ.น่าน บริเวณหน้า รร.ศึกษาสงเคราะห์ มีผู้ประกอบการแสดงความจำนงจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังชีวมวล แต่เด็กนักเรียน คณะครูกังวล และเรียกร้องว่า แม้ว่าโครงการดีแต่ขอให้ย้ายสถานที่ก่อสร้างจากบริเวณหน้าโรงเรียนไปสร้างสถานที่อื่น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ที่ สวท.น่าน เป็นความกล้าที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายสื่อมวลชน จ.น่าน อาสาเป็นสื่อกลางให้มีการเสวนา

การเสวนามีผู้มาจาก พลังงานจังหวัดน่าน/ ผอ.รร.ศึกษาสงเคราะห์ / ผู้ประกอบการ / นักวิชาการ / แต่สิ่งที่สื่อมวลชนและประชาชนทางบ้านและที่อยู่ร่วมเวทีได้สะท้อนให้ได้รับรู้ คือ การเสวทนานี้คงเป็นเพียงการเริ่มต้น และอยากให้มีการแสวงหาข้อมูลมานำเสนอให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น ควรไปจัดเสวนา ณ พื้นที่จริง เด็กนักเรียนมีความตื่นตัวแม้ว่า นักเรียนจะอยู่ไม่นานแต่พวกเรานึกถึงน้อง ๆ ที่จะต้องเรียน หรือเข้ามาเรียน และคณะครูที่ต้องอยู่กับความเสี่ยงมลพิษต่าง ๆ ที่จะมีการก่อสร้างในพื้นที่ตรงข้ามโรงเรียน

สิ่งที่พวกเราชาวน่านยังไม่รู้มีอีกมาก และจะต้องแสวงหาความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังชีวมวลยังมีอยู่อีกมาก สามารถหาคำตอบนี้ได้จากเว็ปไซด์ กรมธุรกิจพลังงาน เกี่ยวกับ ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการเพื่อขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้า ฯลฯ

ตัวอย่างเช่น......

ข้อ ๕ ลักษณะกระบวนการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ตามประกาศนี้ ได้แก่

๕.๑ การผลิตไฟฟ้าจาก พลังลม พลังแสงอาทิตย์ พลังน้ำ พลังคลื่นทะเลหรือมหาสมุทร พลังความร้อนใต้พิภพ ก๊าซชีวภาพ หรือพลังงานอื่น ที่อธิบดีกำหนด

๕.๒ การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงดังต่อไปนี้

(๑) กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้ในการเกษตร หรือกากจากการผลิต ผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมหรือการเกษตร

(๒) ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากกากหรือเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร หรือจากการผลิต

ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือการเกษตร

(๓) ขยะมูลฝอย

(๔) ไม้จากการปลูกป่าเป็นเชื้อเพลิง

๕.๓ การผลิตไฟฟ้าจากไอน้ำ ที่เหลือจากกระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ การเกษตร ที่ใช้พลังงานในข้อ (๕.๑) หรือใช้เชื้อเพลิงใน ข้อ (๕.๒)

ผู้ประกอบกิจการไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามวรรคหนึ่ง สามารถใช้เชื้อเพลิงในเชิงพาณิชย์ เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเสริมได้ แต่ทั้งนี้พลังงานความร้อนที่ได้จากการใช้เชื้อเพลิงเสริมในแต่ละรอบปี ไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของพลังงานความร้อนทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าในรอบปีนั้นๆ

เอาเรื่องนี้มาอ่านเป็นเกร็ดความรู้ไปก่อนนะครับ เป็น พรบ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๑๔๒ ในวาระเริ่มแรก ให้ดำเนินการคัดเลือกคณะกรรมการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการไปพลางก่อนจนกว่าพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๔๓ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานปฏิบัติหน้าที่ของเลขาธิการและให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งเลขาธิการและจัดตั้งสำนักงานตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๔๔ เพื่อให้การปฏิบัติงานของสำนักงานดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพรัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีอาจกำหนดให้ส่วนราชการ ราชการส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ สนับสนุนข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างมาช่วยปฏิบัติงานในสำนักงานไปพลางก่อนเป็นการชั่วคราว โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิม แต่อยู่ในบังคับบัญชาของเลขาธิการ

มาตรา ๑๔๕ ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมธุรกิจพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ซึ่งสมัครใจเปลี่ยนไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของสำนักงานให้ใช้สิทธิแจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

การบรรจุและแต่งตั้งพนักงานและลูกจ้างของสำนักงานตามวรรคหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งใดในสำนักงาน ให้เป็นไปตามอัตรากำลัง คุณสมบัติ และอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างตามที่คณะกรรมการกำหนด

การบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการตามมาตรานี้ ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากราชการเพราะทางราชการเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แล้วแต่กรณี

การบรรจุและแต่งตั้งลูกจ้างตามมาตรานี้ ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงานเพราะทางราชการยุบตำแหน่งหรือทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด และให้มีสิทธิได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง

มาตรา ๑๔๖ นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการพลังงานได้ต่อไปจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้

ในระหว่างการประกอบกิจการพลังงานตามวรรคหนึ่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้านครหลวง กฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แล้วแต่กรณี

มาตรา ๑๔๗ บรรดาอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีอยู่ตามกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้านครหลวง และกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคให้ยังคงมีอยู่ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๔๘ บทบัญญัติเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ โดยการเวนคืนที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีอยู่ตามกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้านครหลวง และกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไป

มาตรา ๑๔๙ เพื่อให้การประกอบกิจการพลังงานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถดำเนินงานได้ต่อไปตามมาตรา ๑๔๖ มิให้นำมาตรา ๒๖ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาใช้บังคับกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จนกว่าบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จะได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ และในช่วงเวลาดังกล่าวให้พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลใช้บังคับต่อไป

มาตรา ๑๕๐ ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ระเบียบของคณะกรรมการตามมาตรา ๕๐ มีผลใช้บังคับ ให้คณะกรรมการดำเนินการออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานตามพระราชบัญญัตินี้ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตามลักษณะและประเภทของการประกอบกิจการ ขอบเขตการให้บริการ รวมทั้งสิทธิต่างๆ ในการให้บริการไฟฟ้าหรือก๊าซธรรมชาติเท่าที่อยู่ในความรับผิดชอบดำเนินการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตามที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ในการออกใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยคำนึงถึงสิทธิและข้อผูกพันที่มีอยู่เดิมของผู้ประกอบกิจการพลังงานประโยชน์ของผู้ใช้พลังงานที่ได้รับบริการอยู่เดิม รวมทั้งการพัฒนาเพื่อให้มีการบริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๕๑ ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ระเบียบของคณะกรรมการตามมาตรา ๕๐ มีผลใช้บังคับ ให้คณะกรรมการดำเนินการออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานตามพระราชบัญญัตินี้ให้แก่ผู้ประกอบกิจการพลังงานที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในพื้นที่พัฒนาร่วม ตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ที่ให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อผ่านระบบส่งก๊าซธรรมชาติไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งประกอบกิจการอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และเข้าข่ายเป็นผู้ประกอบกิจการพลังงานที่ต้องขออนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ โดยการออกใบอนุญาตดังกล่าวต้องคำนึงถึงข้อตกลงและเงื่อนไขตามสัญญาที่ผู้ประกอบกิจการพลังงานมีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและต้องไม่กระทบต่อสิทธิ หรือประโยชน์ของคู่สัญญาตามสัญญาดังกล่าว

มาตรา ๑๕๒ สำหรับการประกอบกิจการพลังงานของหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นนอกจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ให้นำบทบัญญัติในมาตรา ๑๔๖ และมาตรา ๑๕๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๑๕๓ การเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าหรือการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ให้ความเห็นชอบไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการได้ต่อไป และให้ถือว่าเป็นการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายพลังงานที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

ให้เขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อที่ได้มีการประกาศก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ถือเป็นเขตระบบโครงข่ายพลังงานตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๕๔ ให้ผู้ประกอบกิจการพลังงานที่ประกอบกิจการอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและเข้าข่ายเป็นผู้ประกอบกิจการพลังงานที่ต้องขออนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ นอกจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นตามมาตรา ๑๕๒ ประกอบกิจการพลังงานได้ต่อไปและให้มายื่นคำขอรับใบอนุญาตตามวรรคสอง

ให้ผู้ประกอบกิจการพลังงานตามวรรคหนึ่งยื่นขอรับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ระเบียบของคณะกรรมการตามมาตรา ๕๐ มีผลใช้บังคับ และเมื่อยื่นคำขอรับใบอนุญาตแล้ว ให้ประกอบกิจการได้ต่อไปจนกว่าจะได้รับแจ้งคำสั่งไม่ออกใบอนุญาตจากคณะกรรมการ

ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการพลังงานดังกล่าวได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานอื่นของรัฐก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ในการออกใบอนุญาตตามวรรคสองให้คณะกรรมการคำนึงถึงสิทธิและข้อผูกพันที่มีอยู่เดิม ประโยชน์ของผู้ใช้พลังงานที่ได้รับบริการอยู่เดิม รวมทั้งการพัฒนาเพื่อให้มีการบริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัตินี้

การประกอบกิจการพลังงานของผู้ประกอบกิจการพลังงานตามวรรคหนึ่ง และวรรคสองจะต้องปฏิบัติตามการอนุญาตใดๆ ที่ได้ให้ไว้ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กฎหมายว่าด้วยโรงงาน หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการพลังงาน จนกว่าจะได้รับใบอนุญาตตามวรรคสอง

มาตรา ๑๕๕ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมธุรกิจพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นที่มีหน้าที่ในการอนุญาตและการกำกับดูแล หรือการควบคุมการประกอบกิจการพลังงาน จัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบกิจการพลังงาน ให้แก่คณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์

นายกรัฐมนตรี

http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-124.htm  ที่นี่มีเรื่องราวสาระให้ติดตามศึกษามากมาย

ขอพระคุณครับท่าน ผอ.ประจักษ์ ที่เข้ามาทักทายและอำนวยพร

ข้อมูลความรู้เหล่านี้ ไม่ควรมองข้าม

มติ ครม.

มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับพิธีสารเกียวโต มีดังนี้

มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 สิงหาคม 2545 เรื่องการให้สัตยาบันต่อพิธีสารเกียวโต

มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 กันยายน 2545 เรื่องการปฏิบัติตามพันธกรณีในพิธีสารเกียวโต กรณีการใช้คาร์บอนเครดิตในประเทศไทย

มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 เรื่องการดำเนินงานตามกลไกการพัฒนาที่สะอาดภายใต้พิธีการเกียวโต

มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 สิงหาคม 2545

คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2545 เห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ดังนี้

ให้ประเทศไทยให้สัตยาบันต่อพิธีสารเกียวโตตามความเห็นของคณะอนุกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินงานภายใต้พิธีสารเกียวโต (National Focal Point) และทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกลไกการพัฒนาที่สะอาด (National Authority for Clean Development Mechanism, NACDM) ในเบื้องต้น เพื่อประสานการเตรียมการในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาดต่อไป

ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อทำการศึกษากำหนดนโยบาย มาตรการและแนวทางในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องภานใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาดของประเทศไทยในรายละเอียดต่อไป ซึ่งคณะทำงานจะต้องประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน องค์กรเอกชน (NGOs) และผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุดจากการดำเนินโครงการตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด

พิธีสารเกียวโตได้รับการรับรองจากประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ปัจจุบันมีประเทศต่าง ๆ ลงนามให้การรับรองพิธีสารเกียวโตแล้ว จำนวน 84 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย และมีประเทศที่ให้สัตยาบันต่อพิธีสารเกียวโตแล้วจำนวน 77 ประเทศ โดยพันธกรณีของประเทศพัฒนาแล้ว มีกำหนด ดังนี้

ดำเนินการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามที่กำหนดไว้ในพิธีสาร จำนวน 6 ชนิด

กำหนดเป้าหมายของการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศพัฒนาแล้วเป็นรายประเทศ

เน้นย้ำพันธกรณีของประเทศพัฒนาแล้วในการให้การสนับสนุนทางด้านการเงินและเทคโนโลยีให้กับประเทศกำลังพัฒนา

สำหรับพันธกรณีของประเทศกำลังพัฒนาคือ ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น หากประเทศไทยให้สัตยาบันต่อพิธีสารเกียวโตจะไม่มีพันธกรณีในการลดปริมารการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและประเทศภาคีอื่น ๆ จะไม่สามารถดำเนินการบีบบังคับให้ประเทศไทยดำเนินการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้หากประเทศไทยไม่สมัครใจ

คณะรัฐมนตรี วันที่ 10 กันยายน 2545

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปฏิบัติตามพันธกรณีในพิธีสารเกียวโตกรณีการใช้คาร์บอนเครดิตในประเทศไทย ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่งให้ความสำคัญ และถือปฏิบัติตามพันธกรณีของพิธีสาร ฯ ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้ ในการจำกัดหรือลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการดำเนินโครงการ/กิจกรรมใด ๆ ให้หลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดมลภาวะและก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุด และโดยที่ในปัจจุบันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในเรื่องงบประมาณเพื่อดำเนินงานด้านการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงขอให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งริเริ่มดำเนินการโครงการต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวด้วยตนเองเป็นหลัก และหากต่างประเทศประสงค์จะให้ความช่วยเหลือซึ่งเป็นการดำเนินงานในลักษณะ "คาร์บอนเครดิต" ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป

คณะรัฐมนตรี วันที่ 10 กันยายน 2545

คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 มีมติเรื่องการดำเนินงานตามกลไกการพัฒนาที่สะอาดภายใต้พิธีการเกียวโต ดังนี้

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการดำเนินงานตามกลไกการพัฒนาที่สะอาดภายใต้พิธีการเกียวโตตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมคณะอนุกรรมการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยประกอบด้วยหน่วยงานราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการอนุวัตตามอนุสัญญาฯ ให้เป็นไปตามพันธกรณีที่กำหนดไว้ เพื่อให้การดำเนินงานตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด ซึ่งเป็นเรื่องเทคนิคที่สลับซับซ้อน และยังเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ ให้สามารถปฏิบัติได้อย่างเป็นเอกภาพ และเกิดการบูรณาการในระดับนโยบายและปฏิบัติ รวมทั้งมีความถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ จึงเห็นควรให้มีคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเพื่อกำกับการดำเนินงานภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญของพิธีสารเกียวโต โดยคณะทำงานดังกล่าวแบ่งชุดทำงานออกเป็นสาขาหลัก 2 สาขา ได้แก่ สาขาพลังงานและอุตสาหกรรม และสาขาป่าไม้และเกษตรกรรม

พัฒนาโดย สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

http://www2.onep.go.th/CDM/unf_kyoto_motto.html

ข่าวรอบเมืองเหนือ

โดย : สวท.น่าน สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 วันที่ : 17 มิถุนายน 2552

เวลา : 15:39:06

--------------------------------------------------------------------------------

คณะครูและนักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์น่าน ยื่นหนังสือถึงจังหวัดน่าน ระงับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล

รองผู้ว่าฯ น่าน รับหนังสือขอความเป็นธรรม ระงับการก่อสร้าง โรงไฟฟ้าชีวมวล จากกรณีที่บริษัทฟ้าฮ่าม จำกัด ที่เตรียมจะจัดสร้างในพื้นที่ 73 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ตรงกันข้ามกับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์น่าน จากคณะครูและนักเรียน หลังจากกลุ่มนักเรียนได้ค้นคว้าศึกษาถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในชุมชน ทั้งเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียของโรงงาน ที่เตรียมตั้งอยู่ห่างประมาณ 50 เมตร จากแหล่งต้นร่องน้ำของสระเก็บน้ำสาธารณะของชุมชน อันมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อวานนี้ (16 มิย.52) นายสุนทร รัตนวราหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน รับหนังสือขอความเป็นธรรม ระงับการก่อสร้าง โรงไฟฟ้าชีวมวล จากกรณีที่บริษัทฟ้าฮ่าม จำกัด ที่เตรียมจะจัดสร้างในพื้นที่ 73 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ตรงกันข้ามกับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์น่าน จากคณะครูและนักเรียน ซึ่งเป็นตัวแทนนักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์น่าน จำนวน 20 คน

หลังจากกลุ่มนักเรียนได้ค้นคว้าศึกษาถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในชุมชน ทั้งเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียของโรงงาน ที่เตรียมตั้งอยู่ห่างประมาณ 50 เมตร จากแหล่งต้นร่องน้ำของสระเก็บน้ำสาธารณะของชุมชน ซึ่งโรงเรียนและชุมชน บ้านอ่ายนาไลย ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภคบริโภคและหากเกิดการรั่วซึม ก็จะส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และทำลายระบบนิเวศน์ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบด้านเสียงและกลิ่นที่เกิดจากโรงงานมลภาวะจากกองขยะที่เป็นวัสดุในกระบวนการผลิต และปัญหาด้านการจราจรหน้าโรงเรียน ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้มากยิ่งขึ้น

นายสุนทร รัตนวราหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน หลังจากได้รับหนังสือจากผู้นำสภานักเรียนแล้ว ได้เรียกพลังงานจังหวัดน่าน และอุสาหกรรมจังหวัด เข้าพบและปรึกษาหารือ เพื่อให้บริษัทฟ้าฮ่าม จำกัด เตรียมจัดหาสถานที่ก่อสร้างใหม่ และจะได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมและจะได้เรียก บริษัทฟ้าฮ่าม จำกัด มาปรึกษาหารือ เพื่อที่จะหาสถานที่การก่อสร้างแห่งใหม่ ซึ่งตัวแทน จากคณะครูและนักเรียน โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์น่าน ได้เดินทางกลับเพื่อรอผลของการเจรจาและความคืบหน้าต่อไป หากมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล ทางสภานักเรียน โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์น่าน จะต่อต้านให้ถึงที่สุดทุกรูปแบบ

--------------------------------------------------------------------------------

ผู้สื่อข่าว : ปาริฉัตร์ สองสียนต์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท