การเมืองที่มีหัวใจอยู่ที่การพัฒนามนุษย์


การเมืองที่มีหัวใจอยู่ที่การพัฒนามนุษย์

 

การเมืองใหม่??

(ใหม่จริงๆ ของแท้ มิใช่แค่คำโฆษณา!!)

การเมืองที่มีหัวใจอยู่ที่การพัฒนามนุษย์

 

การเมืองใหม่ คืออะไร?

การเมืองใหม่ การเมืองที่มีการพัฒนามนุษย์

การเมืองใหม่ การเมืองที่ไม่คับแคบแค่นิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์

การเมืองใหม่ การเมืองที่มีศาสตร์สูงสุดคือการศึกษาและพัฒนามนุษย์

การเมืองใหม่ การเมืองที่ต้องการนักการเมืองที่ได้รับการพัฒนาความเป็นมนุษย์

การเมืองใหม่ การเมืองที่ไม่ทำให้นักการเมืองเรียนรู้แบบสัตว์เดรัจฉานที่มีแค่การลงโทษ-ให้รางวัล

การเมืองใหม่ การเมืองที่ทำให้นักการเมืองเรียนรู้รอบด้านเพื่อพัฒนาสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

การเมืองใหม่ การเมืองที่ก่อให้เกิด Learning Organization และ Learning Society

การเมืองใหม่ การเมืองที่ต้องการนักการเมืองที่เป็นแบบอย่างของ Learning Person

การเมืองใหม่ การเมืองที่ทำให้บุคคล ชุมชน สังคม ประเทศชาติ ได้รับการพัฒนาที่แท้จริงและยั่งยืน

การเมืองเก่า การเมืองที่มีความบกพร่องจากรากฐานของความคิดแบบเก่าๆ

การเมืองเก่า การเมืองที่ติดกับดักทางความคิดว่าต้องอยู่แต่ในหลักนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์

การเมืองเก่า การเมืองที่ไม่มีระบบและกระบวนการพัฒนามนุษย์

การเมืองเก่า การเมืองที่ไม่กำหนดให้นักการเมืองได้รับการพัฒนาความเป็นมนุษย์

การเมืองเก่า การเมืองที่ทำให้นักการเมืองตกอยู่ภายใต้จิตวิทยาการเรียนรู้แบบสัตว์ดิรัจฉานที่อยู่เฉพาะในเงื่อนไขการลงโทษ-ให้รางวัลเท่านั้น

การเมืองเก่า การเมืองที่อยู่บนฐานคิดโลกทัศน์อันคับแคบแบบเก่าๆ ที่ติดอยู่แค่คิดออกแบบโครงสร้าง ระบบ กลไกการทำงานตามแต่หลักนิติศาสตร์-รัฐศาสตร์เท่านั้น

การเมืองเก่า การเมืองที่อยู่แต่ในวังวนที่วนเวียนกับปัญหาที่ซ้ำซากของกลไกการได้มาซึ่งอำนาจ การใช้อำนาจ การยื้อแย่งอำนาจ การพ้นจากอำนาจ การตรวจสอบ-ถ่วงดุลการใช้อำนาจ และการควบคุมการใช้อำนาจด้วยการลงโทษ 

ซึ่งกลไกเหล่านี้มีการออกแบบในลักษณะต่างๆ เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกมาตลอดกว่าร้อยปีแล้ว
ก็ยังวนเวียนอยู่แต่ในวงจรอุบาทว์แห่งความทุกข์โศกซ้ำซาก

เพราะขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลไกหรือกระบวนการพัฒนาคนที่เป็นนักการเมือง

ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจและผู้ตรวจสอบการใช้อำนาจนั้นนั่นเอง

 ทำไม? รัฐธรรมนูญจึงต้องอยู่ภายใต้โลกทัศน์ที่คับแคบแต่เพียงแค่ศาสตร์ ๒ ศาสตร์เท่านั้น!!

ทำไม? ไม่เติมศาสตร์ที่สูงสุดของมวลมนุษยชาติลงไป คือ ศึกษาศาสตร์ ศาสตร์แห่งการเรียนรู้และพัฒนามนุษย์ลงไปด้วย

การพัฒนามนุษย์ต้องเป็นหน้าที่ของนักการเมืองที่ต้องทำเป็นแบบอย่าง มิใช่เป็นแค่สิทธิที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ตามยถากรรม  ซึ่งต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

 ขอคนไทยทุกคน  ได้โปรดพิจารณาให้โอกาสให้ความเมตตาต่อนักการเมือง ให้ได้รับกระบวนการพัฒนาความเป็นมนุษย์ด้วยเถิด

ขอคนไทยทุกคน ได้โปรดพิจารณาให้โอกาสให้ปัญญาแก่นักการเมือง ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาความเป็นมนุษย์ ที่ต้องให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าเป็นหน้าที่ด้วยเถิด

การพัฒนาความเป็นมนุษย์นั้น คือการพัฒนาพฤติกรรม จิตใจ และปัญญาของนักการเมือง ต้องเป็นหน้าที่ที่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี แก่ประชาชนพลเมืองของประเทศ มิใช่แค่ปล่อยให้เป็นเรื่องตามยถากรรม

คุณสมบัติพื้นฐาน ๓ ด้านของนักการเมืองที่ได้รับการพัฒนาความเป็นมนุษย์

๑.      รักชาติ-รักส่วนรวม มีจิตอาสา เสียสละ สามารถทำงานอาสาสมัคร-บำเพ็ญประโยชน์ แก่ชุมชน สังคมส่วนรวม ประเทศชาติได้ ด้วยการปฏิบัติด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตนเอง (มิใช่แค่ ทำเพียงเพราะด้วยยศตำแหน่งในหน้าที่การงานหรือการบริจาค)

๒.     เป็นคนดีมีศีลธรรม ในศาสนาของตนๆ และเคารพให้เกียรติแก่ศาสนาอื่น (ปฏิบัติจริงตามหลักศีลธรรมขั้นพื้นฐานของศาสนาด้วยตนเอง ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องจนเป็นปกติอยู่ในวิถีชีวิต)

๓.     มีความรู้ความสามารถ  มีความสนใจใฝ่รู้ หมั่นศึกษาองค์ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่มีอยู่ตลอดเวลาในยุคโลกาภิวัตน์

            บุคคลที่เข้ามาสู่การเมืองต้องได้รับการคัดกรองตามคุณสมบัติพื้นฐาน ๓ ด้าน ที่วัดประเมินได้เชิงประจักษ์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (เช่นมีการนับชั่วโมงการทำงานอาสาสมัคร การนับชั่วโมงการปฏิบัติทางศาสนา การนับชั่วโมงการเรียนความรู้เพิ่มเติม ต่อช่วงเวลาที่กำหนด) เป็นเกณฑ์การรับสมัคร และเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว ต้องมีกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาให้นักการเมืองดำรงคุณสมบัติพื้นฐาน ๓ ด้านนี้ต่อไปได้อย่างสม่ำเสมอ และพัฒนาให้ดีขึ้น (มีการวัดประเมินผลเชิงประจักษ์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน)   นักการเมืองต้องมีหน้าที่ในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองจนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พลเมืองของประเทศได้ 

 ขอย้ำว่าต้องเป็นหน้าที่มิใช่ปล่อยไปตามยถากรรมว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้

ฐิตวํโส ภิกฺขุ

เครือข่ายสื่อสารความดี

GMM Network

www.moralproject.net


ปุจฉาวิสัชนา อันเนื่องมาจาก การเมืองใหม่ หัวใจมนุษย์

เมื่อ กันยายน 21, 2008 1:04 ก่อนเที่ยง, patchaya <[email protected]> เขียนว่า:

กราบนมัสการพระอาจารย์ เจ้าค่ะ
...
อานิสงค์จากพระอาจารย์อีกแล้ว โยมพึ่งทำ Power Point รายวิชาวิถีไทยเสร็จเมื่อกี่นี้เองค่ะ
พรุ่งนี้จะสอนบทที่ 6 เรื่องวิสัยทัศน์ด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง ให้กับนัก
ศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภูมิ ( รับจ๊อบเป็นอาจารย์พิเศษ) ในเรื่องวิสัย
ทัศน์ทางการเมืองการปกครอง โยมขอนิมนต์ งานเขียนพระอาจารย์  การเมืองใหม่ การ
เมืองที่หัวใจอยู่ที่การพัฒนามนุษย์ไปสอนนักศึกษาเจ้าค่ะ (นักศึกษาที่เรียนมีอบต. พนักงาน
เทศบาล เรียนร่วมด้วย) ...ขอบพระคุณเจ้าค่ะ
วันนี้รายงานแค่นี้ เจ้าค่ะ
      Patchaya

22 กันยายน 2551

เจริญพร โยมPatchaya

          อาตมาขออนุโมทนาในกุศลเจตนาและบุญกิริยาในการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีให้แก่ลูกศิษย์ของโยมได้อย่างดี ตามที่โยมได้เล่ามา ก็ยังกุศลจิตแห่งการอนุโมทนาในบุญกุศลที่โยมได้ทำให้เกิดขึ้นแก่อาตมา ก็ต้องขอบใจอนุโมทนาไว้ ณ โอกาสนี้
หากแนวทางการทำงาน กระบวนการเรียนรู้ และบทความต่างๆ นั้นมีประโยชน์ ก็ขอปวารณายินดีให้ได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สุขต่อไปได้ ตามที่พิจารณาเห็นสมควรนะ

          ตอนนี้ ก็เริ่มมีผู้สนใจเรื่อง การเมืองใหม่ ประชาธิปไตยหัวใจมนุษย์ ที่เน้นกระบวนการพัฒนานักการเมืองให้มีความเป็นมนุษย์ มากขึ้น  วันนี้ก็ได้ไปออกรายการของทีวีไทย(ThaiPBSเกี่ยวกับเรื่องการเมืองใหม่นี้มา 2 รายการ   และเบื้องต้นก็ได้รับแจ้งว่า ทางเนชั่นสุดสัปดาห์ ก็นำไปลงในหนังสือของเขา

          อาตมามีความประสงค์จะให้พวกเราร่วมกันทำบุญอย่างหนึ่งคือช่วยกันทำลายมิจฉาทิฏฐิเดิม  ที่ละเลยไม่พัฒนาคนที่เป็นนักการเมืองเลย
คิดกันแต่แค่การออกแบบกลไกการเข้าสู่อำนาจ การใช้อำนาจ การตรวจสอบ การลงโทษเมื่อใช้อำนาจไม่ถูกต้อง ก็แค่นั้น  เป็นแค่แมวไล่จับหนู หนูไล่จับแมว

อยู่แต่บนฐานคิดจิตวิทยาแบบฟรอยด์ ลงโทษ-ให้รางวัล ที่ใช้อธิบายกับสัตว์ดิรัจฉาน

แต่ไม่เคยมองไปที่หัวใจที่สำคัญที่สุด สำคัญมากกว่าแค่กลไกแห่งอำนาจหลายพันเท่า
คือกระบวนการเรียนรู้ที่จะพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้กับนักการเมืองกลับไม่มีเลย
เป็นเรื่องตลกร้ายที่เป็นความจริงของระบบการเมือง (ที่ถูกขังอยู่ในวิธีคิดแบบรัฐศาสตร์-นิติศาสตร์เท่านั้นหรือ?)
นักการเมืองจึงด้อยการพัฒนากว่าสาวโรงงานเสียอีก เพราะเมื่อวิเคราะห์โดยระบบแล้ว
สาวโรงงานยังมีระบบฝึกฝนอบรมพัฒนา(training) บ้าง
บางโรงงานบางบริษัทก้าวหน้าถึงขั้นมีการสวดมนต์ปฏิบัติธรรมให้พนักงานอยู่อย่างต่อเนื่อง

นักการเมืองมีบ้างไหม? ระบบพัฒนาบุคลากร ปฏิบัติด้วยตนเองกันบ้างไหม?

เรียกร้องนักการเมืองต้องดีอย่างนั้น ต้องเก่งอย่างนี้ คาดหวังสูง
แต่ประหลาดมาก เรียกร้องเอา "ผล" แต่ไม่สร้าง "เหตุ" หรือสร้างเหตุไม่ตรงกับผล
เรียกร้องเอาแต่ output แต่ไม่มี process
เรียกร้องนักการเมืองที่ดีที่เก่ง แต่ไม่มี process การพัฒนาให้นักการเมืองทั้งดีทั้งเก่ง
เรียกร้องไปสิบชาติ ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะมันผิดสภาวะ เหตุปัจจัยมันไม่ถูกต้อง
มันน่าสงสารสังคมไทยนัก เพราะคนที่ออกแบบการเมืองไทย ร่างรัฐธรรมนูญไทย ไปติดกับดักความคิดอย่างนี้อยู่กัน โดยหาทางออกไม่เจอ

- ถ้าต้องการเรียกร้องให้นักการเมืองดี ก็ต้องมีกระบวนการฝึกฝนอบรมพัฒนาให้นักการเมืองดี
- ถ้าต้องการให้นักการเมืองมีความเสียสละ รักชาติ รักส่วนรวม ก็ต้องมีกระบวนการฝึกฝนอบรมให้นักการเมืองลดละความเห็นแก่ตัว รักชาติ รักส่วนรวม
- ถ้าต้องการให้นักการเมืองเก่งมีความรู้ความสามารถ ก็ต้องมีกระบวนการฝึกฝนอบรมพัฒนาให้นักการเมืองเก่ง มีความรู้ความสามารถทั้งทางโลกทางธรรม

-ต้องการoutputคือนักการเมืองที่ดี ก็ต้องมาจากกระบวนการฝึกฝนอบรมพัฒนาให้นักการเมืองดี
กล่าวคือ ก็ต้องมีกระบวนการพัฒนาจิตใจ โดยอาศัยพลังศีลธรรมทางศาสนา และการเรียนรู้ภายในเป็นเครื่องยกระดับจิตใจ ต้องเป็นวิถีที่ปฏิบัติได้ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องในวิถีชีวิต  และต้องมีการติดตามประเมินผลเชิงประจักษ์ด้วย ต้องเก็บสถิตินับเป็นชั่วโมงเป็นวันเป็นเดือนที่ฝึกฝนอบรม ซึ่งสามารถเก็บสถิติได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ด้วย
-ต้องการoutputคือนักการเมืองมีความเสียสละ รักชาติ รักส่วนรวม ก็ต้องมีกระบวนการฝึกฝนอบรมให้นักการเมืองลดละความเห็นแก่ตัว รักชาติ รักส่วนรวม
กล่าวคือ การสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติงานอาสาสมัตรบำเพ็ญประโยชน์แก่ ชุมชนสังคมส่วนรวมอยู่อย่างเนืองนิตย์ ด้วยระยะเวลาที่เพียงพอ ด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตนเอง ซึ่งสามารถเก็บบันทึกนับเวลาเป็นสถิติข้อมูลได้ มิใช่แค่ใช้ตำแหน่งไปเปิดงานสร้างภาพฉาบฉวยแล้วก็กลับ หรือเพียงแค่บริจาคเงินสิ่งของ ก็ไม่เพียงพอให้เกิดการเรียนรู้ได้
-ต้องการoutputคือนักการเมืองเก่งมีความรู้ความสามารถ ก็ต้องมีกระบวนการฝึกฝนอบรมพัฒนาให้นักการเมืองเก่ง มีความรู้ความสามารถทั้งทางโลกทางธรรม  กล่าวคือ ก็ต้องมีการอบรมศึกษาค้นคว้าดูงานเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ใหม่ๆให้เท่าทัน ต่อโลกาภิวัตน์ และมีความรู้พื้นฐานทางศาสนาของตนเองและของพี่น้องศาสนิกชนอื่นที่อยู่ร่วมกันอย่างเพียงพอ และต้องมีการทดสอบความรู้ด้วยว่ามีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ เพียงใด

ถ้าทำได้เราจึงจะได้มีนักการเมืองที่มีคุณสมบัติพื้นฐานอย่างน้อย ๓ ประการ คือ
(๑)รักชาติรักส่วนรวม
(๒)เป็นคนดีมีศีลธรรมในศาสนาของตน-เข้าใจให้เกียรติศาสนาของผู้อื่น และ(๓)มีความรู้ความสามารถ
เราจึงจะได้นักการเมืองที่เป็นมนุษย์ที่ได้รับการพัฒนา สามารถนำพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญได้อย่างยั่งยืนสักที

ลองวิจัยหรือตรวจสอบดูสักหน่อยสิว่า ระบบการเมืองไทยที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญไทยที่ผ่านมา มี process หรือ กระบวนการพัฒนามนุษย์ อย่างที่กล่าวมานี้หรือไม่ หากไม่มี ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมนักการเมืองไทย จึงไม่มีสำนวนเรียกเปรียบเปรยว่าเป็นคนหรือเป็นมนุษย์สักที เห็นมีแต่เปรียบเปรยว่าเป็น "เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด" หรือพวก "ปลาไหล" อยู่ทุกครั้งไปที่คนไทยพูดถึง บ่นถึง

ทั้งนี้ ก็เพราะระบบที่ออกแบบมันติดกับดักของฐานคิดตามหลักจิตวิทยาแบบ ลงโทษ-ให้รางวัล แบบฟรอยด์ ที่เขาใช้อธิบายกับสัตว์ดิรัจฉานนั้น ไม่มีส่วนของการพัฒนาให้เป็นมนุษย์อยู่

จึงขอเรียกร้องให้เกิดระบบการเมืองใหม่ที่อยู่บนฐานคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิสักทีเถอะว่า คนทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนอบรมพัฒนาให้เป็นมนุษย์ พัฒนาให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นักการเมืองมีหน้าที่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพลเมืองทั้งประเทศในการพัฒนาตนเอง
โปรดผ่าตัดมิจฉาทิฏฐิครั้งใหญ่ที่ครอบงำสังคมไทยมานานเสียทีเถิด
ต้องการผลอย่างไร? ต้องสร้างเหตุให้ถึงพร้อมถึงจะได้

รัฐธรรมนูญต้องกำหนดให้มีกระบวนการพัฒนามนุษย์ให้กับนักการเมือง และต้องเป็นหน้าที่

การเมืองใหม่ ต้องเป็นการเมืองที่มีหัวใจอยู่ที่การพัฒนามนุษย์
แล้วมนุษย์ ก็จะพัฒนาสังคมประเทศชาติและโลกให้สงบร่มเย็น เจริญรุ่งเรือง ยิ่งขึ้นไปอย่างยั่งยืน

ขออนุโมทนาและเจริญพร
พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส

ประธานโครงการ เยาวชนไทย ทำดี ถวายในหลวง
www.moralproject.net

                 ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นข้อคิดของที่ดี    และนักการเมืองทุกระดับควรอ่านเลยนำมาเล่าสู่เพื่อนสมาชิกได้อ่านบ้างครับ

 

 

หมายเลขบันทึก: 272389เขียนเมื่อ 30 มิถุนายน 2009 23:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 19:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เห็นด้วยครับ การพัฒนา ฅ ฅน สำคัญที่สุด แต่ นักการเมือง ไม่รู้ ท่าน คิด เข้าใจ เหมือน เรา ใหม นี่

ชอบบทความนี้จังค่ะ แต่ปัจจุบันมีแต่นักการเมืองที่คิดจะหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง โดยโดยเฉพาะเทศบาลหนูวุ่นวายจัง หนู่ก็เป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่น (สมาชิกอบต) ก็ไม่เห็นจะวุ่นวายแบบนี้นี่นา สุขสันต์วันเกิดนะคะผอ. สุขภาพแข็งแรงด้วยค่ะ ย้อนหลังไปซักนิดนะคะ แต่ว่ายังไม่สายเนอะ ก็บ้านหนูเพิ่งจะมีสัญญาณเน็ตนี่นา

เมื่อไหร่การเมืองไทยจะเป็นการเมืองใหม่เสียทีคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท