Journey in America: Chapter 3 Indian American


ความเชื่อของเขาที่ว่าทุกชีวิตเกิดมาจากผืนแผ่นดิน และเป็นหนี้บุญคุณธรรมชาติ ทำให้พวกเขารักธรรมชาติ และคอยปกป้องดูแลภูเขาต้นไม้รอบๆ ตัวเขา

.....คนที่มีส่วนสำคัญให้ทางบ้านผมยัดผมใส่เครื่องมาที่อเมริกา ก็คือญาติของผม .....ญาติคนนี้เป็นพี่ที่เลี้ยงดูผมมาในอดีต ต่อมาชีวิตก็ผันผวน ได้มาทำงานที่อเมริกาด้วยวีซ่าถาวร และแต่งงานกับชาวอเมริกัน เพิ่งจะมีลูกคนแรกเมื่อต้นปีนี้เอง

ญาติผมนี่ก็อาศัยอยู่บนเขาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อของเขตนี้ ในหน้าหนาวก็จะมีหิมะ สามารถเล่นสกีได้ ซึ่งมีน้อยที่ที่จะมีหิมะในแอลเอ มีทะเลสาบที่ใหญ่มากอยู่บนเขาด้วย คนก็เอาเจ็ตสกีเอาเรือไปเล่นกันอย่างคึกคัก ผมได้มีโอกาสขึ้นไปพักในสุดสัปดาห์แรกของผม สวยจริงๆ บ้านทุกบ้านทำจากไม้ และอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ถนนหนทางก็สะดวกสบายแต่ไม่ถึงกับไฮเทคอย่างในเมืองใหญ่ เป็นเหมือนชุมชนต่างจังหวัด ที่ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นหมื่นเป็นแสนต่อปี ตัวดาวทาวน์เองก็มีขนาดเล็กๆ บ้านเรือนร้านค้าแต่งด้วยดอกไม้และกระเบื้องสีสวยงาม ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง (เพราะรู้สึกว่าเข้าร้านไหนเขาก็จะรู้จักญาติผมกันหมด) รู้สึกได้เหมือนมาพักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการผจญชีวิตในสัปดาห์ที่สอง สัปดาห์ที่ต้องจริงจังเสียที

โอเคทีนี้จะขอเล่าความพิเศษของญาติผม (หมายถึงชาวอเมริกันที่พี่เลี้ยงของผมแต่งงานด้วย) คือเขาไม่ใช่คริสเตียน ไม่ใช่คาทอลิก และไม่ใช่ชาวพุทธ แต่เขานับถือ สปิริตที่อยู่ในธรรมชาติ แบบเดียวกับชาวอินเดียแดง หรืออเมริกันอินเดียนนับถือกัน..... ซึ่งในส่วนของพิธีกรรมนั้นผมก็ได้มีโอกาสไปเข้าร่วมอยู่บ้าง และก็รู้สึกว่าเป็นพิธีการที่ ขลัง และดูศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว .....สถานที่ที่ทำพิธี เป็นชุมชนอนุรักษ์ที่มีชาวอเมริกันเชื้อสายแมกซิกัน ซึ่งนับถือแบบที่ผมว่าพักอยู่ โดยเขาก็อยู่อย่างสมถะมากคือ ไม่มีน้ำประปา และไฟฟ้า บ้านที่อยู่ก็เป็นลักษณธะโมเบิลโฮม แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน หัวหน้าชุมชนอยู่ที่นั่นมาหลาย 10 ปีแล้วพร้อมครอบครัว เป็นคนจิตใจดีคล้ายคนต่างจังหวัดบ้านเรา (ในความคิดผม คนต่างจังหวัดในประเทศไทยมีจิตใจดีกว่าคนในเมือง ซึ่งในความเป็นจริง ปัจจุบันทุกที่ก็คงมีทั้งคนดีและไม่ดี อยู่ที่เราจะไปเจอใครเมื่อไหร่)..... ผมก็ได้ขึ้นไปอยู่ในคืนวันเสาร์แรกในอเมริกา เป็นอเมริกาที่ไม่มีไฟ ไม่มีน้ำ อากาศตอนกลางคืนก็หนาวสุดขีด 8-9 องศา (ซึ่งถ้าเป็นตอนนี้ (หมายถึง ณ วันที่เขียนบลอกนี้) ผมไม่กลัวเท่าไหร่ .....แต่ตอนนั้นเพิ่งมาจากประเทศที่ร้อนตับแตก เลยไม่ชิน) อันนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ที่ผมขำมากๆ เลยคือการได้มาใช้ห้องน้ำที่นี่ .....สำหรับผมในอาทิตย์แรก อะไรๆ ก็เหมือนจะเป็นภาพติดตาสำหรับประเทศนี้ไปซะทั้งหมด แล้วก็ดันต้องมาใช้ห้องน้ำที่นี่ ซึ่งเป็นส้วมหลุม ..... ภูมิใจเล็กๆ ที่หลายๆคนที่มาสัมผัสประเทศอภิมหาอำนาจอย่างอเมริกา มัวแต่เดินชอปปิ้ง เยี่ยมอนุสรณ์สถานต่างๆ เที่ยวดิสนีย์ ฯลฯ แต่ผมได้ใช้ส้วมหลุม เมด อิน ยูเอส เอ .....ซึ่งมันแตกต่างจากส้วมหลุมของไทยที่ทำอย่างง่ายๆ ซึ่งผมกำลังจะบอกว่ายังไง (เพราะฉะนั้นถ้าคุณทานข้าวอยู่ ผมว่าอย่าอ่านต่อเลย)

.....หากคุณเคยเห็นส้วมหลุมในประเทศไทย มันก็จะเป็นส้วมอย่างง่ายๆ ขุดบ่อลงไป ทำขอบ เอาไม้พาดที่ปากบ่อสำหรับนั่ง เวลาใช้ก็นั่งยองๆ เหมือนส้วมซึมทั่วไป แต่ที่นี่ไม่ใช่ .....เพราะหลังจากเมื่อไหร่ไม่ทราบที่มนุษย์โลกไม่สามารถนั่งยองๆ เข้าส้วม ได้อีก ประเทศพัฒนาแล้วจึงประดิษฐ์ส้วมนั่งขึ้น ดังนั้นประเทศอเมริกาและคนอเมริกัน ไม่รู้จักส้วมนั่งยองๆ หรอกครับ ไม่ว่าส้วมเกรดไหน ก็ต้องนั่งแบบเก้าอี้ ส้วมหลุมก็เช่นกัน .....เขาจะสร้างแท่นขึ้นมา และเจาะรูแล้วเอาขอบรองนั่งชักโครกที่มากับฝาปิด แบบที่เราเห็นเขาขายๆ กัน มาติด..... อารมณ์เหมือนห้องน้ำสาธารณะธรรมดาๆ นี่เลย เพียงแต่เมื่อคุณเปิดฝาชักโครกขึ้น คุณจะพบกับความแตกต่างอย่างสุดขั้ว จากกลิ่นและพลังงานต่างๆ ที่ดันตัวขึ้นมา..... 555 สุดยอดครับ ผมได้ทดลองแล้ว ดีที่เขามีกระดาษทิชชูเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ก็ถือเป็นสิ่งแปลกๆ ที่ผมพบในประเทศเจริญอย่างที่นี่ ซึ่งก็ต้องขอบคุณญาติของผมด้วยที่พาผมมาพบสิ่งนี้.....(ซึ่งหลังจากนี้ผมก็มีโอกาสไปพบส้วมแบบนี้อีกที่หนึ่ง ซึ่งจะพูดถึงในโอกาสถัดไป)

.....กลับมาเรื่องพิธีกรรม อมเริกันอินเดียน นับถือธรรมชาติครับ ที่เรียกว่า motherearth พวกเขาถือว่าพวกเขาเกิดจากธรรมชาติโดยมีวิญญาณของสัตว์ต่างๆ และต้นไม้ใบหญ้าอยู่รอบๆ คอยปกป้อง ทุกๆปีก็จะมีพิธีขอบคุณวิญญาณเหล่านั้น เป็นพิธีใหญ่ทำกันปีละไม่กี่ครั้ง ซึ่งผมไม่มีโอกาสเห็นพิธีนี้ แต่ที่ผมจะพูดถึงคือพิธีเล็กๆ ที่จัดกันทุกอาทิตย์ และสามารถให้คนนอกเข้าร่วมได้ด้วย..... สถานที่ก็ต้องขับรถจากบ้านญาติผมไปประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เรียกว่า Mahutason (ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหม) อยู่เกือบถึงเขตชายแดนรัฐ California กับ Nevada ไปทางเหนือของ Palm Spring ครับ

.....พิธีที่ว่านี้จัดขึ้นในกระโจมที่จุคนได้ซัก 20 คน โดยให้คนที่สนใจเข้ามานั่งล้อมวง โดยมีประธานจะเป็นผู้ดำเนินพิธี..... ด้านนอกจะมีการเผาหินแร่ให้ร้อน และนำมาวางไว้ตรงกลางภายในกระโจม ประธานเขาก็จะตักน้ำราดลงไปบนหิน เพื่อให้เกิดไอน้ำ โดยที่เขาจะเอาเมล็ดสมุนไพรโรยลงไปด้วย กลิ่นหอมมากครับ .....ต่อไปเขาก็จะปิดกระโจมแล้วร้องเพลงของพวกเขา ซึ่งผมฟังไม่ออก แต่ก็เพราะดี .....อุณหภูมิในกระโจมร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะไอน้ำที่ไม่มีทางระบายออก ร้อนมากครับ เกิน 45 องศาแน่ๆ ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เข้าพิธีเขาจะไม่ใส่เสื้ออยู่แล้วเพราะรู้ ส่วนผู้หญิงนี่จะไม่ใส่ก็กระไรอยู่ ร้องเพลงนึงจบก็ร้องเพลงอื่นต่อ ประมาณ 15 นาที ก็จะหยุด และเปิดกระโจมเพื่อระบายความร้อน ตัวเบาเลยครับ เพราะเสียเหงื่อไปเยอะ แต่ก็รู้สึกสบายตัวเหมือนอบซาวน่า ผมเองก็นึกว่าเสร็จแล้ว 55 ยังครับ เขาบอกว่าต้องทำแบบนี้ 4 ครั้ง เพื่อบูชาทั้ง 4 ทิศ..... โอเคเลย ระหว่างที่เปิดกระโจมนี้ เขาก็จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกล่าวถึงใครและอะไรที่เขานึกถึงอยู่ ทั้งความดีและความชั่วที่พวกเขาได้คิดและทำ หรือว่าการทำพิธีครั้งนี้เขาอยากจะอุทิศให้ใคร พอกล่าวแล้วประธานก็จะขอให้ทุกคนร่วมพิธีต่อเพื่อคนที่สมาชิกคนนั้นๆ ได้กล่าวถึง รวมถึงร่วมขอบคุณธรรมชาติด้วย .....รอบที่ 2 ผมก็ไม่เท่าไหร่ เขาถามว่าร้อนมั๊ย ไหวมั๊ย..... ผมก็บอก Bangkok ก็แบบนี้แหละ 555 เขาก็บอกดี งั้นต่อเลย .....รอบ 3 เล็บผมแดงไปหมดเลยเพราะความร้อน ต้องทำตัวแนบกับพื้นดินในกระโจมเพราะมันค่อนข้างจะเย็น.....กว่าจะครบ 4 รอบผมแทบคลาน.....จากนั้นทุกคนก็ออกมาเข้าแถมจับมือ หรือกอดกันเพื่อขอบคุณกันและกัน และร่วมทานอาหารเย็นที่สมาชิกแต่ละคนจัดมา..... ก็เป็นพิธีกรรมที่ดูไม่งมงาย ไม่สลับซับซ้อน เข้าใจและสื่อความหมายของวัตถุประสงค์ได้ง่าย และยังมีประโยชน์ (เหมือนอบสมุนไพร) อีกด้วย..... ความเชื่อของเขาที่ว่าทุกชีวิตเกิดมาจากผืนแผ่นดิน และเป็นหนี้บุญคุณธรรมชาติ ทำให้พวกเขารักธรรมชาติ และคอยปกป้องดูแลภูเขาต้นไม้รอบๆ ตัวเขา ถึงพิธีกรรมแบบนี้มันจะต้องมีเงินทองมาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ตามสมัยทุนนิยมอย่างทุกวันนี้ แต่ประโยชน์ต่อสังคมที่ได้จากกิจกรรมแบบชาวบ้านๆ เช่นพิธีกรรมในชุมชนนี้ ก็ยังมีมากกว่าการทำบุญการกุศล หรือการให้เงินเป็นล้านๆ เพื่อเชิดชูสิ่งที่ตนเคารพบูชา และอวดอ้างตนเพื่อผลประโยชน์ทางโลกเป็นไหนๆ ..... สีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส, ความเป็นกันเอง และการถ่ายทอดเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่น หรือจากชุมชนต่อผู้มาเยือน ทำให้ผมคิดว่าฟังชั่นของการทำอะไรก็ตามเพื่อความสุขมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย เพียงแต่ความสุขแบบนี้ในยุคของพวกเรา มันแลกมาได้ง่ายๆ ด้วยเงิน ถ้าคุณมีเงินคุณก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้อย่างง่ายๆ ....คนจึงเคยตัวและหลงใหลไปกับการซื้อความสุขอย่างทุกวันนี้ ซึ่งก็รวมทั้งผมด้วย

ความสุขจากทั้งสองแบบ (จากเงินทอง และการทำพิธีกรรมอย่างง่ายๆ) มันก็สุขเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน..... ก็ตามแต่ใครจะสะดวกแบบไหนครับ นี่ก็เป็นสิ่งดีๆ ที่น่าพูดถึง จากการที่มีญาติที่มีความเชื่อที่แตกต่าง และได้นำผมไปหาแนวคิดใหม่ๆ ไปพบสถานที่แปลกๆ และความสนุกจากการได้เรียนรู้สิ่งที่เกิดมาก็ไม่คิดว่าจะได้ไปเจอครับ

 

เขียนเมื่อ : 15 พฤษภาคม 2548 ที่ลอส แองเจลิส

คำสำคัญ (Tags): #บันทึก
หมายเลขบันทึก: 270439เขียนเมื่อ 23 มิถุนายน 2009 18:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

โชคดีมากที่มื้อเย็นนี้ผมทานขาหมูมาเรียบร้อยแล้ว

ครับผม ขอบคุณมากเลยนะครับ ผมรู้สึกว่าคำว่า "สปิริตที่อยู่ในธรรมชาติ " หรือ

มาเทอร์เอร์ทเนี่ย โดนใจมากเลยครับ ผมอ่านแล้วมีความสุขมากเลยนะครับ

รักความคิดของพวกเขาจัง

ฝากบอกด้วยนะครับ

ว่าพิธีกรรมของพวกเขามีผลต่อใจผมมากเลย ขอบคุณพวกเขาด้วยนะครับ

น้องกอล์ฟ

  • สวัสดีค่ะ
  • โชคดีจังที่ได้ไปเจอเรื่องราวแบบนี้ค่ะ
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท