อาจารย์วีนัส สีสุข แจ้งให้ทราบเมื่อ Fri, 19 Jun 2009 17:26:32 +0700 ว่า
“เรียน ทุกท่าน
สำนักทะเบียนกลางได้แจ้งแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการแจ้งการตายและการออกหลักฐานการตายกรณีกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ ดังเช่นกรณีของ ว8 ฉบับนี้เป็น ว36[1] ออกวันนี้เองครับ
วีนัส”
อ่านดูแล้ว ก็ชัดเจนว่า ประเทศไทยยอมรับ Universal Death Registration ซึ่งหลักก็เป็นเช่นนี้มานานแล้ว เพียงแต่ในทางปฏิบัติอาจยังกังวลกันเอง
อีเมลล์ถามอาจารย์วีนัสกลับไปอีกรอบว่า “ผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงก็อาจได้รับมรณะบัตรเมื่อตายใช่ไหม ?? ใช้มรณะบัตรประเภท ท.ร.๐๕๑ ใช่ไหม ??” ทั้งนี้ เพื่อเอาให้แน่ใจ ถามแทน USCRI ซึ่งตั้งคำถามเมื่องานเสวนาครบรอบปฏิรูปกฎหมายใหม่ว่าด้วยสิทธิในสถานะบุคคลตามกฎหมายไทยที่วุฒิสภา
อาจารย์วีนัสก็ตอบมาอีกทีชัดเจนเลยเมื่อ Sat, 20 Jun 2009 10:07:00 +0700 ว่า
“อาจารย์ครับ
ไม่ว่าคนในค่ายจะเสียชีวิตในค่ายหรือออกมาตายนอกค่ายก็ตาม รวมถึงคนหลบหนีเข้าเมืองทั่วไป ถ้าทราบว่าผู้ตายเป็นใคร (รู้รายการบุคคล) ก็สามารถออกมรณบัตร ท.ร.๐๕๑ ให้ได้
แต่ถ้าไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นใคร (ผู้แจ้งการตายไม่อาจให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้ตายได้) กรณีนี้นายทะเบียนจะออกใบรับแจ้งการตาย ท.ร.๔ ตอนหน้าให้ จนกว่าจะทราบว่าผู้ตายเป็นใครก็นำ ท.ร.๔ ตอนหน้ามาขึ้นมรณบัตรได้ครับ
หวังว่าการจัดการประชากรของประเทศในเรื่องคนเกิดและคนตายคงจะเป็นระบบมากขึ้น...”
สรุปอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยจึงยอมรับหลักการจดทะเบียนการตายให้แก่มนุษย์ทุกคนที่ตายบนแผ่นดินไทย เป็น Universal Death Registration แน่แล้ว
เหลือ Universal Birth Registration ที่ต้องมาว่ากันอีกที ซึ่งตามหลักกฎหมายธรรมชาติ มันเป็นสิทธิมนุษยชนที่มนุษย์จะเกิดและตาย รัฐเจ้าของดินแดนก็น่าจะต้องมีหน้าที่รับรองทั้งการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของสถานะบุคคลตามกฎหมายเอกชน ที่มันมีปัญหาเพราะไปสับสนว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกับสิทธิในสัญชาติและสิทธิในความเป็นคนต่างด้าวที่ชอบด้วยกฎหมายคนเข้าเมือง ก็มันคนละเรื่องกัน ไปคิดว่า เป็นเรื่องเดียวกัน ก็สับสนแย่ซิคะ
สิทธิในสถานะบุคคลตามกฎหมายการทะเบียนราษฎรนั้น เป็นคนละเรื่องกับสิทธิในสถานะบุคคลตามกฎหมายสัญชาติและตามกฎหมายคนเข้าเมืองนะคะ
ไม่เป็นไร มาค่อยๆ ศึกษากัน
ไม่มีความเห็น