เหนื่อยและท้อ


เหนื่อยและท้อ
เคยรู้สึกกันบ้างไหมครับ เวลาที่เราเราต้องเดินทางไกลเกินกำลัง สิ่งที่เราคาดหวังไม่เป็นไปดังใจ การทำอะไรโดยหวังจะให้ดีขึ้น แต่ผลที่ออกมากลับแย่ลงไปทุกวัน สิ่งที่คนส่วนใหญ่จะรู้สึกก็คือเหนื่อยและท้อนั่นเอง ความเหนื่อยและท้อนั้นอาจจะทำให้หลายๆคนล้มเลิกความตั้งใจ แต่อีกหลายคนกลับเลือกที่จะสู้ต่อ ซึ่งเยื่อบางๆของกำลังใจเท่านั้นที่จะดึงให้เรากลับไปสู้ต่อได้ บางครั้งก็มีแรงใจจากคนรอบข้างที่ช่วยเสริมให้เยื่อบางๆนี้กลับมาเหนียวแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น นักวิ่งทางไกลบางคน เขาวิ่งจนหมดแรงที่จะก้าวต่อไป แต่เขาก็สามารถพาตัวเองไปข้างหน้าด้วยเสียงเชียร์จากข้างสนาม นักฟุตบอลบางคนก็สู้ไม่ถอยหากยังไม่หมดเวลาเพราะเสียงเชียร์จากแฟนบอล พ่อหรือแม่บางคนก็ยอมเหนื่อยยอมสู้กับปัญหาเพื่อกลับมาได้เห็นรอยยิ้มของลูก กำลังใจจากคนรอบข้างช่วยให้ฉุดให้หลายๆคนลุกขึ้นก้าวเดินต่อไปได้
 
แต่สำหรับงานบางอย่าง ที่เราต้องปฏิบัติิด้วยตัวเราเอง เป็นงานที่เราต้องเดินไปตามทางของเราคนเดียว เป็นงานที่เราต้องทำด้วยตัวของเราเอง การเดินทางไกลโดยไม่เห็นจุดหมายปลายทางบางทีมันก็หมดแรงที่จะเดินต่อ ยิ่งหากคิดถึงจุดหมายที่มองไม่เห็นแล้ว ยิ่งอยากจะเลิก อยากจะเดินกลับแทบทุกนาที บางครั้งมันก็ใช้แรงใจจนหมด เหนื่อยและท้ออย่างที่สุด เยื่อบางๆแห่งกำลังใจนั้น ขาดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจจะรู้ได้ สิ่งที่ทำแล้วคิดว่าจะต้งออกมาดี กลับแย่ลงไปเรื่อยๆ จุดหมายที่ว่าจะเห็นอยู่ไม่ไกลกลับห่างออกไปจนมองไม่เห็น ที่บอกว่าเหนื่อยว่าท้อ มันคือเหนื่อยและท้อจนอยากจะเลิกจริงๆ
 
ครูบาอาจารย์ของผมท่านเคยบอกไว้ว่า ท่านปฏิบัติมาท่านก็มีเหมือนกัน วันที่เหนื่อยและท้อ ลองคิดเล่นๆว่าขนาดพวกเราที่อินทรีย์อ่อนๆ ปฏิบัติลุ่มๆดอนๆ ทำๆหยุดๆ ยังเหนื่อยและท้อขนาดนี้ แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านตั้งใจสูง เวลาที่เหนื่อยและท้อมันจะสาหัสขนาดไหน และที่ต่างกันอีกอย่างคือ เวลาที่ท่านเหนื่อยและท้อนั้น ท่านไม่ได้หยุดหรือคิดจะเลิกอย่างเรา ครูบาอาจารย์ของผมท่านบอกว่า ท่านก็รู้ไปว่ามันเหนื่อยมันท้อ และก็ปฏิบัติต่อไปท่านไม่เลิกปฏิบัติ เห็นไหมครับวันที่ท่านท้อท่านก็แค่รู้ แต่ท่านไม่เลิก ขนาดท่านทำมาหลายสิบปีท่านยังไม่เลิก แล้วพวกเราที่เพิ่งเริ่มกันสามสี่เดือน หรือบางคนปีสองปีจะหยุดแค่นี้เหรอครับ ท่านบอกว่าเราสะสมความเห็นผิดมาหลายภพหลายชาติ หลายกัปป์ พอเวลาจะเห็นถูกไม่กี่วันกี่เดือนจะหยุดแล้วเหรอครับ
 
ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังถึงครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่งศิษย์ร่วมรุ่นกับท่านได้ดีไปหมดแล้ว เหลือแต่ท่านนี้ที่ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังอายุมากแล้วด้วย ครูบาอาจารย์ท่านนี้ท่านบอกทั้งน้ำตาว่า ท่านจะทำต่อไป ท่านไม่หยุด ต่อให้อีกกี่เดือนกี่ปี กี่ชาติท่านก็จะทำ ได้ฟังแบบนี้แล้วหากเราคิดจะหยุดนี่อายท่านเลยนะครับ เราจะยอมแพ้ความเหนื่อยความท้อที่เป็นด่านทดสอบเล็กๆแค่นี้เองเหรอครับ ทุกข์ที่เราเจอนั้นมันมากมายกว่าความท้อหลายหมื่นหลายแสนเท่านะครับ
 
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมคนนั้นปฏิบัติแล้วได้ผลเร็ว ทำไมเราได้ผลช้า ต้องบอกก่อนว่าเราไม่รู้หรอกว่าที่เขาทำแล้วเร็วนั้น เขาสะสมมามากมานานแค่ไหน อย่างเราถ้าเราไม่เริ่มทำชาตินี้ ชาติต่อไปเราก็จะรู้สึกยากอีก อย่างไรเสียก็ต้องเริ่มเดินครับ แล้วรู้ไหมครับที่เราปฏิบัติกันอยู่นี่ เราไม่ได้เริ่มจากศูนย์กันหรอกครับ เราต้องเคยสะสมกันมามากแล้ว อย่างน้อยที่สุดการได้เกิดมาเป็นคนที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ได้เจอพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแท้ๆของพระพุทธเจ้านี่ เราสะสมมาไม่ธรรมดาเลยนะครับ โอกาสดีขนาดนี้แล้ว เราจะยอมแพ้ความเหนื่อยความท้อ หันหลังให้กับโอกาสที่เราอุตสาห์ตั้งใจสะสมมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติเหรอครับ เสียดายแทนครับ
 
เวลาปฏิบัติ ถ้าเรามัวแต่ไปคิดถึงจุดหมายที่ไกล เราก็จะเหนื่อยและท้อ ที่สำคัญ เราไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเรากำลังทำไปเพราะความอยากอีกด้วย ลองตั้งใจใหม่นะครับ ปฏิบัติไปเล่นๆ แค่คอยมองดูอารมณ์ของเราไป ไม่ต้องคิดหรือหวังอะไรไกล คิดเสียว่าเป็นการปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าที่ทรงชี้แนะสั่งสอน  ไม่ต้องกังวลว่าวันไหนจิตดี วันไหนจิตไม่ดี จิตดีหรือไม่ดีไม่สำคัญเท่ากับเรารู้ว่ามันดีหรือไม่ดี เราคิดเรื่องดีหรือไม่ดีก็ไม่ดีเท่ากับเรารู้ว่าเราคิด จิตใจผ่องใสหรือมืดมนก็ไม่ดีเท่ากับเรารู้ว่ามันเป็นอย่างไร แค่รู้ก็พอครับ แค่รู้ก็ดีแล้ว มันจะดีจะร้ายจะแย่จะเลวขนาดไหน แค่เรารู้ก็จบแล้ว
 
บางวันที่โกรธ อารมณ์เสียทั้งวัน ถ้าเรามัวแต่กลัวว่ามีแต่อารมณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นเราก็จะยิ่งขุ่นยิ่งมัวไปตลอดวัน แต่นักปฏิบัติพอวันไหนโกรธหรือหงุดหงิด มีเรื่องทำให้รำคาญใจทั้งวันนี่ชอบเลยนะครับ ชอบเพราะอะไร ชอบเพราะมันมีอารมณ์มากระทบให้ดูให้รู้เยอะแยะ โกรธทีก็รู้ไปที หงุดหงิดทีก็รู้ไปอีกที ยิ่งมีคนมาทำให้หงุดหงิดทั้งวันนี่ โอ้โห ชอบ รู้ได้บ่อยๆเลยนะครับ (เวลาเจอผมไม่ต้องช่วยตบหัวหรือชกผมให้ผมรู้สึกหงุดหงิดหรือโกรธนะครับ เดี๋ยวจะมีคนคิดแผลงว่า ช่วยชกเขาหน่อย พอโกรธเขาจะได้รู้สึกตัว ได้บุญ ไม่ต้องนะครับ ผมไม่อยากได้แผลครับ)
 
เห็นไหมครับ "รู้กายรู้ใจตามปัจจุบัน ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง" มีอะไรผ่านเข้ามาเราก็รู้เฉยๆ ไม่ว่าจะดีใจหรือโกรธ เราก็แค่รู้ ดูมันวิ่งผ่านมาผ่านไป ไม่ต้องไปช่วยประคองความรู้สึกดีๆให้อยู่นานๆเผื่อใจจะเบิกบานไปทั้งวัน ไม่ต้องไปพยายามแก้ความรู้สึกที่ไม่ดีให้ออกไป ใจจะได้ไม่หงุดหงิดไปตลอดวัน แค่รู้แค่ดูมันผ่านมาก็พอครับ เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เพราะอารมณ์ที่เข้ามาก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เดี๋ยวก็ต้องหายไป เราไม่ต้องไปแทรกแซงให้มันอยู่นานๆ หรือให้หายไวไว จิตดีหรือไม่ดีไม่ดีเท่ากับเรารู้ว่ามันเป็นอย่างไร วันไหนมันขุ่นๆ มันมัวๆ เราไม่ต้องกังวลว่ามันไม่ดีต้องหาทางแก้หรอกครับ แค่รู้ว่ามันขุ่น ว่ามันมัวก็ปฏิบัติเสร็จแล้ว ง่ายๆเท่านี้เอง
 
การปฏิบัตินั้น แต่ละคนก็มีทางเฉพาะของตนเอง เวลาเดินทางเราไม่มีเพื่อนที่จะเดินตามทางเดียวกันทุกก้าว เพราะอุปนิสัย ความเคยชิน หรือสิ่งที่ปฏิบัติมาของแต่ละคนต่างกันไป แต่ก็อย่าลืมว่าเรามีเพื่อนอีกหลายๆคนที่มีจุดหมายเดียวกัน มีครูบาอาจารย์ช่วยชี้ทาง ไม่ต้องกลัวเหนื่อยหรือท้อนะครับ เพื่อนเยอะ แค่เพียงเดินไม่ซ้ำรอยกันเท่านั้น
 
หมายเหตุ ผมก็ตีความสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ แล้วนำมาเล่าตามความคิดหรือประสบการณ์ของผม ซึ่งผมก็ยังลุ่มๆดอนๆไปไม่ถึงไหน อาจจะมีผิดบ้าง เพื่อไม่ให้หลงทางตามผม ก็ควรหาครูบาอาจารย์ชี้แนะให้คำแนะนำด้วยนะครับ
คำสำคัญ (Tags): #เหนื่อยและท้อ
หมายเลขบันทึก: 269759เขียนเมื่อ 21 มิถุนายน 2009 15:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท