เตรียมสู้วิกฤต


เตรียมสู้วิกฤต
ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำจนหลายๆคนเรียกว่าเป็นวิกฤตซับไพร์มบ้าง วิกฤตแฮมเบอเกอร์บ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลสะเทือนไปทั่วโลก อีกหกเดือนข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ ผู้ประกอบการในหลายธุรกิจต่างก็ต้องเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น ทางออกหลายๆทางถูกหยิบยกขึ้นมาวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง แต่ด้วยปัจจัยแห่งความไม่แน่นอน ทางออกทั้งหลายจึงไม่เคยหยุดนิ่งตายตัว ปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับปัจจัยที่มากระทบอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าหลายๆคนก็คงต้องพบกับผลกระทบนี้ไม่มากก็น้อย แล้วเราจะเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร
 
คำแนะนำที่ดีที่สุดของกูรูหลายๆท่านที่เคยผ่านวิกฤตมาด้วยตัวเองก็คือ เราต้องประเมินตัวเองให้ออก ว่าเราอยู่ในตลาดใด จุดอ่อนจุดแข็งของเราคืออะไร เราเป็นผู้นำหรือผู้ตามในตลาดนั้น หลายๆทีที่ผู้บริหารวางแผนผิดพลาดเพราะการหลอกตัวเองว่าเป็นผู้นำ ไม่ยอมรับสถานะภาพของผู้ตาม ทำให้แผนการต่างๆที่เตรียมมา ไม่เหมาะสมกับความเป็นจริง การเรียนรู้ตัวเองเพื่อยอมรับตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เราสางตัวเองไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม เหมือนกับที่เคยมีเพลงหนึ่งบอกไว้ว่า "อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด"
 
การเรียนรู้ตนเองในระดับองค์กร ก็สามารถวางแผนพาองค์กรให้รอดพ้นวิกฤตไปได้ แต่หลายๆคนกลับลืมไปว่า คน ผู้ขับเคลื่อนองค์กร เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กรนั้น เราลืมเรียนรู้ตัวเองไป เพราะหากเรารู้จักตัวเองดีพอ เราจะรู้ว่าเราควรทำอะไร เราจะรู้ว่าที่เรากำลังทำอยู่เราทำไปเพราะความอยากได้เกินพอดี หรือว่าเราทำไปเพราะเหตุผลสมควร เราทำตามใจของเราหรือเราทำเพราะควรจะทำ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะแยกให้ออก เพื่อลดอคติในการตัดสินใจการงานใดๆ ขอยกตัวอย่างในนิยายเรื่องสามก๊ก เล่าปี้แค้นที่กวนอูน้องร่วมสาบานถูกซุนกวนฆ่าตาย ในขณะเดียวกันโจผีก็เพิ่งปกครองแทนโจโฉที่เสียชีวิตด้วยโรคในสมอง แทนที่เล่าปี่จะวางแผนปราบโจผี กลับเลือกล้างแค้นส่วนตัวยกทัพไปรบกับซุนกวนที่แข็งแกร่ง นำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินจนเล่าปี่ต้องตรอมใจ การไม่รู้เท่าทันความแค้นส่วนตัวของเขานั้นทำให้ก๊กอ่อนแอจนล่มสลายในที่สุด
 
แล้ววิธีการที่จะเรียนรู้ตัวเองนั้นไม่ยากอะไร เพียงแค่สังเกตใจของตัวเราเอง เวลาที่โกรธ ก็รู้ว่าโกรธ เวลาที่แค้นก็รู้ว่าแค้น เวลาดีใจ เสียใจ ชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ อยากได้ ไม่อยากได้ หลงคิดฟุ้งซ่าน อยากนอน ขี้เกียจ เบื่อ เซ็ง รำคาญ ก็รู้ไปตามที่อารมณ์ต่างเกิดขึ้น ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากมากกว่าการรู้ เช่น เวลาไปทานข้าวกับเพื่อน เพื่อนคุยสนุกก็รู้ว่าชอบ เพื่อนสั่งกับข้าวเดิมๆ ก็รู้ว่าเบื่อ กับข้าวรอนาน เริ่มหิวก็รู้ว่าเริ่มหงุดหงิด กับข้าวมาแล้วดูท่าไม่อร่อยก็รู้ว่าไม่ชอบ พอลองกิน เอ๊ะ อร่อย ก็รู้ไปว่าชอบ กินเจอพริกเม็ดโต ก็รู้ว่าไม่ชอบ อยากกินน้ำ ก็รู้ว่าอยากก่อนแล้วค่อยกิน อันนี้ผมยกตัวอย่างมาเยอะๆไว้ก่อนนะครับ อย่าตกใจว่าต้องรู้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ ผมยกตัวอย่างเผื่อไว้ว่าอันไหนจะไปโดนใจใครน่ะครับ เรารู้เท่าที่เรารู้ได้ก็พอ บางคนอาจจะรู้แค่ว่าตอนหิวน้ำ ก็รู้ว่าอยาก ก็ได้ครับ แต่ลองเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มรู้ได้เยอะขึ้นเอง
 
ต่อไปเราจะเริ่มรู้ตัวเราเองแล้วว่าแท้ที่จริงเราเป็นคนขี้หงุดหงิด ขี้โมโห เป็นคนโลภอยากได้นั่นอยากได้นี่ตลอดเวลา หรือเป็นคนที่ชอบคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ทั้งวัน ไม่มีใครบอกว่าเราเป็นคนอย่างไรได้ดีเท่ากับว่าเราเรียนรู้จากตัวเองครับ เวลาอยู่กับเพื่อน เพื่อนเขาเห็นชีวิตเราจากภายนอกแค่บางส่วน เพื่อนเราเขาอาจจะมองว่าเราใจเย็น แต่ใครจะรู้ดีเท่าตัวเราที่มองตัวเองจากภายใน ว่าจริงๆแล้ว เรานั้นเป็นคนขี้โมโหอันดับต้นๆของประเทศเลยก็ว่าได้ ผมเคยเห็นพวกแบบทดสอบทางจิตวิทยาบอกว่าให้เราตอบคำถามอย่างนั้นอย่างนี้ 100-200 ข้อ แล้วเขาจะสรุปว่าเราเป็นคนประเภทไหน เหมือนกันครับ แต่ผมไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่ เพราะในแบบทดสอบนั้น จะถามว่า ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์แบบนี้... ในขณะที่ความเป็นจริงผมนั่งตากแอร์สบายใจ คำตอบของผมอาจจะดูเป็นคนดี เพราะผมไม่ได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์จริงแม้แต่น้อย มันจึงเป็นความคลาดเคลื่อนที่ไม่มีใครบอกได้ครับ
 
การที่เราจะรู้ตัวเองนั้น ต้องมาจากที่เราสังเกตตัวเองจากสถานการณ์จริง ไม่ใช่คิดเอาเอง ค่อยๆเรียนรู้ตัวเองไปว่าเราเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสังเกตอารมณ์ตัวเองหรอกครับ สังเกตไปเรื่อยๆต่อไปเวลาเราโกรธ เราจะรู้ตัวขึ้นมาเลยว่าเรากำลังโกรธ เวลาเรากำลังทุกข์อะไรมากๆอยู่พอเรารู้สึกตัวขึ้นมาว่าเรากำลังทุกข์ ความทุกข์นั้นมันหายไปชั่วขณะเลยครับ การเรียนรู้ตัวเองนอกจากจะช่วยให้เราพาองค์กรฝ่าวิกฤตไปได้ ยังช่วยให้เรามีความสุขกับปัจจุบันที่เราเป็นอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญนอกเหนือจะฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจได้แล้ว ในท้ายที่สุด ความรู้สึกตัวนี่แหละ จะช่วยให้เราฝ่าวิกฤตในสังสารวัฎได้อีกด้วย ไม่มีอะไรมากไปกว่า "มีสติรู้กายรู้ใจตามปัจจุบัน ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง" จริงๆครับ
 
หมายเหตุ ยิ่งเขียนผมยิ่งเอาเรื่องนั้นผสมเรื่องนี้จนมั่วไปหมด ขนาดเอาสามก๊กมาร่วมได้นี่แสดงว่าผมมั่วเอามากๆแล้วครับ ถ้าสนใจเรียนรู้ตัวเองแล้วก็อย่าลืมหาครูบาอาจารย์ชี้แนะแนวทางให้นะครับ จะได้ไม่หลงเดินวนมั่วไปกับผม
คำสำคัญ (Tags): #เตรียมสู้วิกฤต
หมายเลขบันทึก: 269755เขียนเมื่อ 21 มิถุนายน 2009 15:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท