วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ดิฉันมีหน้าที่เป็นตรวจการณ์ ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโรงพยาบาลแทนผู้อำนวยการโรงพยาบาล เมื่อดิฉันเดินข้าไปในตึกผู้ป่วยในชาย ก็พบว่า น้องเกดนั่งร้องไห้อยู่ในห้องพักพยาบาล
“เกดสงสารผู้ป่วยห้องพิเศษ 5 ค่ะ” นี่คือคำตอบที่ได้จากน้องเกด จริงๆแล้วน้องเกดไม่ใช่คนอ่อนแอหรือขี้แย แต่อย่างใด แต่วันนี้น้องเกดร้องไห้เพราะสงสารและเข้าใจผู้ป่วย เนื่องจากภรรยาผู้ป่วยต้องกลับไปทำงานต่อที่ประเทศมาเลเซีย ผู้ป่วยเองประกอบอาชีพรับจ้างตัดยางพาราในหมู่บ้านแต่ภรรยารับจ้างขายอาหารที่มาเลเซีย มีบุตรด้วยกัน 2 คนซึ่งอาศัยอยู่กับผู้ป่วย แต่ช่วงนี้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียและมีไข้ ภรรยาจึงเดินทางกลับมาดูแลครอบครัว และอีกไม่กี่วันก็จะถึงเดือนรอมฎอมแล้ว (เป็นเดือนถือศีลอดสำหรับชาวมุสลิม) ซึ่งเป็นช่วงที่ร้านอาหารในประเทศมาเลเซียขายดีกันมาก ทำให้ภรรยาผู้ป่วยรายนี้ต้องกลับไปทำงานที่มาเลเซียเช่นเดิมและจะไม่ได้อยู่ดูแลสามีของตน
“คนไข้ขอหมอกลับบ้านแป๊ปนึง เพื่อจะไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัว แล้วจะกลับมานอนโรงพยาบาลต่อ โดยสัญญาว่าจะมาให้ทันฉีดยาช่วงหกโมงเย็น แต่หมอไม่อนุญาตให้กลับ เกดสงสารคนไข้ เพราะคนไข้พูดว่า นี่อาจจะเป็นมื้อสุดท้ายที่เค้า...จะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ปอซอปีหน้า ไม่รู้ว่าเค้าจะมีชีวิตอยู่อีกมั้ย?”
และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้น้องเกดคนแกร่งของเราร้องไห้ในวันนี้
ดิฉันรับทราบปัญหาของผู้ป่วยรายนี้จากน้องเกด และไม่สามารถเข้าไปพูดคุยกับผู้ป่วยได้ เพราะแค่รับรู้ก็รู้สึกสงสารจับใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ในที่สุดดิฉันจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยกับแพทย์เวรในวันนี้ บอกปัญหาและความต้องการให้แพทย์เวรรับทราบ แต่ก็ได้รับคำตอบว่า
“ผมไม่กล้าให้กลับบ้านหรอก กลัวแพทย์เจ้าของไข้จะเล่นงานผม ถ้าพี่จะอนุญาตก็ตามใจพี่แล้วกัน ” คำตอบนี้ทำให้ดิฉันคิดอยู่พักใหญ่ จึงตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับผู้ป่วย สีหน้าของผู้ป่วยอิดโรยนัยตาแห้งผากไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงเลย ทั้งๆที่อาการและโรคของผู้ป่วยในช่วงนี้ เพียงแค่นอนรอฉีดยาให้ครบ dose เท่านั้น ดิฉันยิ่งรู้สึกเครียดและสงสารผู้ป่วยมาก ในที่สุดดิฉันจึงตัดสินใจแจ้งแพทย์เวรว่าดิฉันขออนุญาตให้ผู้ป่วยรายนี้กลับบ้านประมาณ 4 ชั่วโมง โดยให้เซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐานและให้ผู้ป่วยกลับมานอนพักรักษาต่อ โดยกำหนดให้มาทันได้รับยาฉีดในช่วงเวลา 18.00 น ซึ่งแพทย์เวรก็บอกแต่เพียงว่า “ตามใจพี่แล้วกัน”
งานนี้น้องเกดดีใจออกนอกหน้า เขียนบรรยายใน Doctor order ทันที ว่าผู้ป่วยขอกลับบ้านโดยแจ้งเวรตรวจการณ์รับทราบ.....รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับดิฉันอย่างแน่นอน......
วันรุ่งขึ้นเมื่อดิฉันมาทำงาน ได้รับรายงานจากน้องๆพยาบาลว่าผู้ป่วยพิเศษ 5 กลับมาตามที่สัญญาไว้จริง และที่สำคัญที่สุดผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่นขึ้นมาก ดิฉันไม่รอช้ารีบเข้าไปเยี่ยมทันที
สีหน้าในวันนี้ต่างจากเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด สดชื่นมีชีวิตและนอนยิ้มอย่างมีความสุข....ดิฉันคิดว่าดิฉันทำถูกแล้ว...ผู้ป่วยได้รับการรับรักษาทางใจ....และเป็นความปรารถนาที่เขาต้องการเพียงแค่นี้เองหรือ..ก็สามารถเปลี่ยนแปลงอาการของผู้ป่วยได้
..และแล้วลางสังหรณ์ที่รู้สึกได้เมื่อวานนี้ก็เป็นจริง เมื่อตรวจสอบเวชระเบียนผู้ป่วย พบว่ามีลายมือเขียนคำถามใน Doctor order ของผู้ป่วยพิเศษ 5 ถามว่าใครมีหน้าที่ในการตรวจรักษาผู้ป่วย เป็นเวรตรวจการณ์ใช่หรือไม่?????
ช่วงเที่ยงดิฉันจึงเข้าไปพบแพทย์เจ้าของไข้รายนี้ ทุกคนรู้ว่าท่านเป็นแพทย์ที่มีความมุ่งมั่นมากในการดูแลรักษาผู้ป่วย ท่านสอบถามดิฉันถึงหน้าที่ของ เวรตรวจการณ์ “ว่ามีหน้าที่รักษาผู้ป่วยหรือไม่? และเหตุใดจึงได้มาสั่งการรักษาผู้ป่วยรายนี้?”
ดิฉันยอมรับ..........แล้วแต่ท่านจะว่ากล่าวอย่างไร เพียงแต่บอกให้ท่านทราบถึงสีหน้าของผู้ป่วยว่าสดชื่นขึ้นมาก หลังจากที่เขาได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ในเวลาเพียง 4 ชั่วโมง.......ในที่สุดแพทย์คนเก่งของดิฉันก็เดินจากไป โดยไม่พูดอะไร..... และอีก 2 วันต่อมา ผู้ป่วยรายนี้ก็ได้กลับบ้านไปใช้ชีวิตกับครอบครัวตามเดิม
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น... ได้เรียนรู้ว่าการรักษาด้านร่างกายเพียงอย่างเดียว..ไม่เพียงพอสำหรับการดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยรายนี้ ...เวลาที่เหลือของชีวิตอาจมีไม่มากนัก ถ้าสักครั้งหนึ่งที่เราจะสามารถทำความหวังอันน้อยนิดของเขาให้สมหวัง โดยไม่ขัดต่อการรักษาใดๆ เราก็น่าจะทำให้...เพื่อความสุขซึ่งอาจเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตก็ได้…
สวัสดีค่ะ
แม้จะเป็นเรื่องจริงแห่งชีวิตที่ลิขิตไว้แล้ว
แต่เรื่องราวทั้งหลาย ทำให้อีกหลายชีวิต
ได้ฉุกคิดถึงคุณค่าแห่งการมีชีวิตอยู่ยิ่งขึ้น
ขอบคุณเรื่องจริงที่ได้นำมาตีแผ่ให้คติเตือนใจ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ..ขอบคุณจริงๆ.
ได้อ่านแล้วรู้สึกดีใจมากเลยค่ะ ที่ตีแผ่การดูแลคนอย่างเข้าใจถึงหัวใจความเป็นมนุษย์
ถ้าหากว่า ชาวสาธารณสุขเรา..ตระหนักการถึงการดูแลผู้ป่วยแบบนี้ทุกคน คิดว่า เราคงไม่ต้องหายาแพงๆ มารักษาหรอกค่ะ เพราะยาที่สามารถใช้รักษา คือ ยาใจนี่เองค่ะ
ขอบคุณน่ะค่ะ..
จากทุกกำลังใจที่ได้รับ..จะพยายามเขียนเรื่องเล่าดีดีที่เกิดขึ้น
ให้อีก..ในโอกาสต่อไป
ขอบคูณมากมากค่ะ
sharaman
ตามมาเชียร์คนชงชา รพ. รามัญ เคยแวะไปหลายปีมาแล้ว ช่วยกันสร้างเครือข่ายครับ
ทีมศูฯย์มนามัยมาประชุมวิชาการด้วย คนเชียงใหม่คงกลับแล้วน่ะ
สวัสดีค่ะ..คุณวอญ่า
ขอบคุณค่ะที่ให้กำลังใจ
อยากให้มาเที่ยวรามันอีก..ยินดีต้อนรับน่ะค่ะ
ถูกต้องแล้ว..การดูแลรักษาทางด้านจิตใจก็เป็นส่วนหนึ่ง ถ้าจิตใจดีก็จะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้นด้วย ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งถึงรักษายังไงก็อาจไม่ดีขึ้น ดีแล้วล่ะที่ให้ผู้ป่วยรายนั้นกลับบ้านเค้าไป เค้าจงจะดีใจมายมายทีเดียว ซึ้งอ่ะ
เป็นกำลังใจให้ชาว ER ทุกคนนะครับ โดยเฉพาะนางฟ้าชุดขาวในใจผมคนนั้น