การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการศึกษา ดังนี้
๑. ใช้ในการคำนวณ เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรก ๆ ที่สร้างขึ้นถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านคำนวณก่อน โดยมีผู้ประดิษฐ์เครื่องคำนวณในยุคแรก ๆ หลายแบบด้วยกัน ได้แก่ เครื่องคำนวณที่ใช้เฟืองเป็นคนแรก ในปี พ.ศ. ๒๓๘๕ เครื่องคำนวณที่เรียกกันว่า Leibniz ซึ่งใช้ระบบกลไกและเป็นต้นแบบของเครื่องคิดเลข ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ จนกระทั่งมีการสร้างเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลก พ.ศ. ๒๔๘๘ มีเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า Personnel Computer เกิดขึ้นเป็นเครื่องแรก คือเครื่อง Apple II พ.ศ. ๒๕๒๐ บริษัท IBM สร้างเครื่อง Personal Computer ขึ้น และวิวัฒนาการเป็นต้นแบบของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ก็แพร่หลายไปทั่วโลก ที่เรียกกันว่า IBM Computer Microcomputer พ.ศ. ๒๕๒๔
การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในยุคแรกนั้นจะใช้ในการคำนวณเป็นส่วนใหญ่ โดยเขียนโปรแกรมคำสั่งให้คอมพิวเตอร์คำนวณตามฟังก์ชั่นที่กำหนด เช่น การนับจำนวนประชากร การหาค่าเฉลี่ยต่าง ๆ เช่น อายุ ความสูง รายได้ของประชากร คอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ในระยะแรก ๆ จึงนำเข้ามาใช้เพื่อการสำมะโนประชากร และต่อมาก็นำไปใช้ในการจัดทำบัญชีซึ่งมีการคำนวณตัวเลขจำนวนมาก และเริ่มเข้าไปใช้ในการคำนวณทางวิศวกรรม
๒. ใช้เก็บข้อมูลและคำนวณควบคู่กัน เกิดจากวิวัฒนาการในความสามารถสร้างสื่อเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ขึ้น เช่น เทปเก็บข้อมูล จานแม่เหล็กเก็บข้อมูล และดิสเก็ต ที่มีขนาดเล็กลง แต่สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นและมีราคาต่ำลงDiskette ที่ใช้เก็บข้อมูลในสมัยแรกมีขนาด ๘ นิ้ว ต่อมาได้ลดขนาดลงเป็น ๕.๒๕ นิ้ว และ ๓.๕ นิ้ว ตามลำดับ แต่สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น ในปัจจุบันได้วิวัฒนาการเป็นแผ่น CD และ DVD ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง ๑๐ GB ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ Diskette ๕.๒๕ นิ้ว ที่มีขนาดใกล้เคียงกันแต่เก็บข้อมูลได้เพียง ๓๖๐ KB จะเห็นว่าเก็บข้อมูลได้แตกต่างกันมาก
๓. ใช้ทำงานในสำนักงานทั่วไป เป็นวิวัฒนาการสำคัญโดยการสร้างโปรแกรมชุดคำสั่งงานคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมคำสั่งงานที่มีขนาดใหญ่และสามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นด้วยวิวัฒนาการสำคัญที่ควรกล่าวถึงก็คือ การใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลคำ (Word processing) และขณะเดียวกันก็มีการสร้างโปรแกรมเพื่อเก็บข้อมูลและคำนวณผลเบื้องต้นได้ จึงเกิดเป็นโปรแกรมตารางทำงาน ( Work sheet) ทำให้คอมพิวเตอร์ถูกนำไปใช้งานต่าง ๆ ในสำนักงานได้อย่างกว้างขวาง
๔. ใช้ในงานกราฟิกและภาพเคลื่อนไหว เป็นวิวัฒนาการต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ คือ การก้าวไปสู่การใช้คอมพิวเตอร์ในงานกราฟิก รูป และภาพเคลื่อนไหว เป็นการก้าวไปสู่ยุคสื่อผสม (Multimedia) ซึ่งต้องมีสื่อเก็บข้อมูลขนาดใหญ่และมีความเร็วสูงในการประมวลผลข้อมูล วิวัฒนาการช่วงนี้ใช้เวลานานประมาณ ๑๐ ปี จึงทำให้การเก็บและประมวลผลข้อมูลสื่อผสมสามารถใช้ได้เหมาะสมกับความต้องการ
๕. ใช้ในการสื่อสาร เป็นวิวัฒนาการที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่ การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ และการสื่อสารทางไกลร่วมกัน เกิดเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Telecommunication Technology) ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า อินเทอร์เน็ต (Internet) ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ โดยเริ่มต้นจากมหาวิทยาลัย ๔ แห่ง ในประเทศสหรัฐอเมริกา และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อกันได้ทั่วโลก โดยผ่านช่องทางสื่อสารที่มีใช้กันอยู่แล้วทั้งโทรศัพท์และเคเบิ้ลที่เชื่อมต่อกันในการใช้งานต่าง ๆ การใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ต่อมามีการขยายตัวรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปัจจุบันประมาณกันว่ามีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกถึง ๘๐๑.๔ ล้านคน
นวัตกรรมอินเทอร์เน็ตเกิดจากความต้องการสื่อสารของทหารที่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารระหว่างเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ที่มีระบบต่างกัน ทำให้คอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันสามารถสื่อสารกันได้ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องสามารถเชื่อมต่อเข้าด้วยกันได้ และขยายออกไปอย่างไม่มีขอบเขต ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจึงเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ต่อเชื่อมกันเหมือนใยแมงมุมที่เรียกว่า World Wide Web หรือ WWW. โดยนำเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อเชื่อมกันผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ และวิวัฒนาการต่อมาในปัจจุบันจนสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องใช้สายโทรศัพท์ เรียกว่า Wireless Internet หรือ WiFi ซึ่งมีรัศมีกระจายคลื่นประมาณ ๑๐๐ เมตร ในอนาคตอันใกล้กำลังเกิดเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า WiMAX มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นประมาณ ๑,๐๐๐ เท่า ซึ่งจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ณ จุดที่ห่างไกลประมาณ ๒๐ ไมล์ สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้
๖. การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่สำคัญในปัจจุบัน มีมากมาย ที่สำคัญควรจะได้ทำความเข้าใจได้แก่ สื่อมัลติมีเดีย, Digital Content, e-Library และ e-Learning
๖.๑ สื่อมัลติมีเดีย หมายถึง สื่อที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วย ตัวเลข ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง โดยอาจรวมเอาการตอบโต้กับผู้ใช้ได้ด้วย สื่อมัลติมีเดียสามารถสื่อสารผ่านประสาทสัมผัสได้หลายทางพร้อม ๆ กัน สามารถสร้างความเข้าใจได้ดีขึ้นกว่าสื่อที่เป็นเอกสาร
๖.๒ Digital Content หมายถึง สื่อที่สามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์และมีเนื้อหาครอบคลุมวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ เราสามารถแบ่ง Digital Content ออกได้ ๓ ระดับ คือ Media, Topics, และ Curriculum (Horton, ๒๐๐๔) ADB (๒๐๐๔) แบ่ง Digital Content ออกเป็น ๕ ประเภทตามวัตถุประสงค์ของการใช้ คือการฝึก การทบทวน การเล่นเกม การจำลองสถานการณ์ และ สื่อมัลติมีเดีย สื่อแต่ละประเภทจะช่วยให้ผู้เรียนได้สำรวจและค้นพบตัวเองด้านความถนัดในการเรียนรู้แบบต่าง ๆ และช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่สร้างความคิด การสำรวจ และสร้างสถานการณ์จำลองในการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น
๖.๓ E-Library เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีระบบ CMS (Content Management System) เป็นตัวจัดการ เพื่อให้ข้อมูลและความรู้ถูกเก็บอย่างเป็นระบบ สามารถค้นหาและนำมาใช้ได้อย่างสะดวก e-Library เป็นสิ่งจำเป็นในการรวบรวมความรู้เพื่อใช้ในงานต่าง ๆ รวมทั้งเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญต่อไป การค้นหาข้อมูลและความรู้ที่จัดเก็บไว้อาจจะใช้หลายรูปแบบ เช่น การเลือกหัวข้อเรื่อง และดูทั้งหมดตามลำดับที่เก็บรวบรวมไว้หรือค้นหาจากคำหรือใจความที่จัดเก็บก็ได้ การจัดเก็บกับการค้นหาจึงต้องทำควบคู่กันไป
๖.๔ E-Learning เป็นรูปแบบการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา มีผู้ให้นิยามความหมายของ e-Learning ไว้มากมาย อาทิ Quah (ADB, ๒๐๐๔) ให้ความหมายว่า e-Learning เป็นทั้งการเรียนรู้เพิ่ม เติมและการเรียนรู้ประกอบ สามารถเรียนได้เป็นอิสระจากเวลาที่กำหนด สามารถใช้ในการเรียนรู้ของคนปริมาณมากโดยไม่จำกัดสถานที่ ทำให้บทบาทของผู้สอนและผู้เรียนเปลี่ยนแปลงไป ผู้สอนทำหน้าที่เหมือนผู้ดูแล แนะนำ จัดการ ติดตามผู้เรียน และสร้างสื่อการเรียนรู้ ในขณะที่ผู้เรียนแสดงบทบาทเป็นผู้เสาะแสวงหา สังเกต วิจัย วิเคราะห์ และแก้ปัญหา สุรสิทธิ์ วรรณไกรโรจน์ ให้คำจำกัดความ -Learning ว่า เป็นการเรียนรู้แบบออนไลน์ On – line ซึ่งอาจจะผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ต (Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตนเอง โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ และมัลติมีเดียอื่น ๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web browser โดยผู้สอน ผู้เรียน และผู้เข้าร่วมชั้นเรียน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย (เช่น e-mail, web-board, chat) จึงเป็นการเรียนสำหรับทุกคน เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานที่
โดยการประยุกตย์ใช้ ICT ในการบริหารจัดการศึกษาในโรงเรียนสามารถประยุกต์ใช้ในด้านอื่น ๆ อย่างหลากหลาย ดังนี้
ภาพตัวอย่างจาก โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี)๔
เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจมาก ซึ่งตอนนี้ผมกำลังศึกษาอยู่ ขอบคุณมากที่ให้ความรู้
ออกสอบมั้ยครับ ท่านอาจารย์