ครอบครัวเป็นสถาบันทางสังคมขั้นพื้นฐานที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก เป็นสถาบันสากลและเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ แต่การที่สภาพครอบครัวเกิดขึ้นแล้วก็มิได้หมายความว่าสภาพครอบครัวจะมั่นคงยืนยงตลอดไป อาจมีการสิ้นสุดหรือแตกสลายลงได้ โดยทั่วไปการสิ้นสุดของสภาพครอบครัวมี 2 ประการคือ ประการแรกการหย่าร้างจากกัน และประการที่สองคือการตาย การสิ้นสุดด้วยการตายไม่ค่อยก่อให้เกิดความวุ่นวายในชีวิตครอบครัวเท่ากับการหย่าขาดจากกัน เพราะเหตุว่าการหย่าร้างที่เกิดขึ้นจะก่อให้เกิดภาวะเจ็บป่วยทางจิตใจแก่คู่สมรสหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่าการตายจากกัน (วันทนา กลิ่นงาม. 2525 : 1) การหย่าร้างจึงเป็นวิกฤตการณ์ของชีวิตสมรสที่คู่สมรสทุกคู่พยายามจะหลีกเลี่ยง แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทุกคู่ บางคู่อาจโชคดีได้อยู่ด้วยกันจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร แม้จะทุกข์หรือสุขก็ตามเพื่อชื่อเสียง เพื่อลูก เพื่อวงศ์ตระกูล ก็ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่บางคู่ที่ถือว่าถ้าอยู่ด้วยกันไม่มีความสุขก็ไม่จำเป็นต้องครองชีวิตคู่ร่วมกันต่อไปและจบลงด้วยการหย่าร้าง (สุภรณ์ ลิ้มอารีย์ และ พนม ลิ้มอารีย์. 2536 : 1)
ในอดีตการหย่าร้างไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม เพราะถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายและถ้าสามีภรรยาคู่ใดหย่าร้างกันก็จะถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีจะได้รับการติฉินนินทา ดังนั้นปัญหาการหย่าร้างจึงไม่ค่อยเกิดขึ้น ทั้งๆที่สมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นการแต่งงานแบบคลุมถุงชน คือพ่อแม่จับให้แต่งงานกัน แต่เมื่ออยู่กินด้วยกันแล้วก็รักกัน และอยู่ด้วยกันจนตายจากกัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ผู้หญิงไทยในอดีตมีหน้าที่อยู่กับบ้าน คอยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่และเป็นแม่บ้านแม่เรือนดูแลการงานภายในบ้านทุกอย่าง ไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนในปัจจุบันปัญหาการหย่าร้างจึงไม่เกิดขึ้น (เทพชู
ทับทอง. 2546 : 177) นอกจากนั้นการหย่าร้างยังกระทำได้ยาก เพราะความเคร่งคัดทางศาสนาและจารีตประเพณี บางสังคมบางประเทศ เช่น ประเทศเกาหลีใต้ การหย่าร้างเกิดขึ้นได้ยาก เพราะถ้าเกิดการหย่าร้างสังคมจะไม่คบหาสมาคมด้วย เนื่องจากศาสนาห้ามการหย่าร้าง คู่สมรสจึงจำต้องอยู่ร่วมกันเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม (Glick and Norton. 1972 : 301) และในประเทศอินเดียที่ถือว่าภริยานั้นเป็นสมบัติอยู่ภายใต้สิทธิ์ขาดของสามี จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องการหย่าร้างได้ และเมื่อสามีตายภริยาก็ไม่มีสิทธิ์จัดการกับชีวิตของตนเอง หญิงหม้ายบางแห่งไม่มีสิทธิ์แม้แต่การมีชีวิตอยู่ เพราะตามประเพณีภรรยาต้องเผาตัวตายตามสามีผู้เป็นเจ้าของชีวิตไปด้วย เรียกว่าพิธีสตี (Sati) (ลักษณ์วัต ปาละรัตน์. 2546 : 25 - 27)
ในสังคมไทยเดิมการแต่งงานเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติไม่ใช่เฉพาะคู่สมรส
จึงอยู่ภายใต้การดูแลคอยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งของกลุ่มเครือญาติ การปลูกฝังค่านิยมเกี่ยวกับพรหมจรรย์ ค่านิยมเกี่ยวกับการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ผู้หญิงพยายามรักษาชีวิตการแต่งงานของตนเองไว้ให้ยาวนานที่สุด ถึงแม้ว่าผู้หญิงหลายคนต้องทนทุกข์ทรมานจากการแต่งงาน เช่น สามีมีเมียน้อย สามีไม่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ถูกสามีทำร้ายร่างกาย เพราะเมื่อมีการหย่าร้างผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ผู้หญิง (กุสุมา พลแก้ว. 2540 : 3)และการหย่าร้างยังถือเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าไม่เป็นที่พึงประสงค์ให้มีการหย่าร้างเกิดขึ้น สามีภรรยาจึงต้องอยู่ร่วมกันต่อไป ทั้งที่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจโดยถือว่า เป็นเรื่องของเคราะห์กรรม (ประสาท หลักศิลา. 2515 : 210)
ถึงแม้ว่าสมัยก่อนการหย่าร้างจะทำได้ยาก แต่การหย่าร้างก็สามารถทำได้ในกรณีที่คู่สมรสมีความประสงค์ที่จะหย่าร้าง ดังจะเห็นได้จากจดหมายจากลาลูแบร์ (Simon de la loubere) ที่กล่าวถึงการหย่าร้างในสังคมไทยสมัยอยุธยาไว้ว่า การอยู่กินฐานสามีภรรยาในประเทศสยามนั้นแทบจะราบรื่นแทบทุกครัวเรือน แต่ถ้าหากสามี ภรรยาคู่ใดไม่ประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันต่อไป ก็สามารถที่จะหย่าร้างกันได้ตามกฎหมาย ผู้เป็นสามีนั้นเป็นตัวสำคัญในการหย่าร้างเพราะจะยอมหย่าหรือไม่ก็ได้แต่ก็จะไม่ปฏิเสธหากภรรยามีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะหย่ากับตน (Simon de laloubere อ้างใน
พุฒ วีระประเสริฐ 2536 : 9) การหย่าร้างจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใด ภายหลังการหย่าร้างก็สามารถแต่งงานใหม่ได้ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าการหย่าร้างเป็นสิ่งที่สังคมไทยยอมรับได้ ถึงแม้ว่าการหย่าร้างจะเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนักก็ตาม
ปัจจุบันหลังจากที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากประเทศตะวันตก โดยเฉพาะด้านการศึกษา การเมือง และด้านเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตย เกิดการเปลี่ยนแปลงจากระบบเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปสู่เศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงค่านิยม เกิดค่านิยมใหม่ๆ เช่น ความเสมอภาค อิสรเสรี ความเป็นตัวของตัวเองตามครรลองอุดมการณ์ประชาธิปไตย ผู้หญิงมีโอกาสได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น ลักษณะค่านิยมใหม่ของไทยที่เห็นเด่นชัดคือ ผู้หญิงไทยตื่นตัวเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมกับชาย ซึ่งแต่ก่อนเคยรู้สึกว่าเป็นช้างเท้าหลัง ปัจจุบันผู้หญิงไทยมีอิสระ และเสรีภาพมากกว่าแต่ก่อนในด้านการดำเนินชีวิตประกอบอาชีพทางสังคม ใช้ชีวิตนอกบ้านและกิจกรรมทางสังคมมากขึ้น (อานนท์ อาภาภิรมย์. 2516 : 14)
ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว นำไปสู่การเรียกร้องให้มีการนิยามบทบาทของผู้หญิง
เสียใหม่ภายในครอบครัว อำนาจและสิทธิต่างๆ รวมทั้งความเหลื่อมล้ำในบทบาทของชายและหญิง
มีแนวโน้มลดลง (พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิพงษ์. 2525 : 16) และนอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงยังมีผลกระทบต่อโครงสร้างและความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและก่อให้เกิดผลที่น่าสนใจคือ ผู้หญิงมีค่านิยมที่จะอยู่เป็นโสดสูงขึ้น พบว่ามีการหย่าร้างเพิ่มสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท
จากงานการศึกษาเกี่ยวกับการหย่าร้างในสังคมไทยพบว่า อัตราการหย่าร้างในสังคมไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นและพบสูงมากที่สุดในเขตกรุงเทพมหานคร แต่ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจส่วนมากมาจากการสำรวจจากสถิติการหย่าร้างที่มีผู้มาจดทะเบียนการหย่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นข้อมูลที่เกี่ยวกับการหย่าร้างที่ไม่มีการจดทะเบียนหย่าจึงไม่มีการบันทึก ส่งผลให้ข้อมูลที่ได้รับอาจเกิดความคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการหย่าร้างในสังคมชนบท แต่ข้อมูลดังกล่าวก็แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการหย่าร้าง (วันทนา กลิ่นงาม. 2525 : 26 – 28)
การหย่าร้างที่เกิดขึ้นในแต่ละสังคมนั้นขึ้นอยู่กับบริบททางสังคม วัฒนธรรม และตัวบุคคลเป็นตัวกำหนด การหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสิ่งที่ควรได้รับความสนใจในการศึกษา โดยเฉพาะการหย่าร้างในชนบท เพราะถึงแม้ว่าการหย่าร้างจะพบโดยทั่วไปในแทบทุกชุมชน แต่การหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้นในสังคมชนบท เป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาเนื่องจากการหย่าร้างก็คือดัชนีชี้วัดความล้มเหลวในชีวิตแต่งงานระหว่างสามีและภรรยาที่ไม่สามารถปฏิบัติตามบทบาทที่สังคมคาดหวังได้
เมื่อรักกันก็ตัดสินใจแต่งงานแรกๆก็รักกัน
แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้นคนเราก็มักง่ายเห็นก็ตัว อย่าร้างกันง่ายๆ ถ้าไม่มีลูกก็ยังดีกว่ามีอยู่นิดนึง แต่ถ้ามีล่ะ พวกเขาจะอยู่ยังเมื่อไม่มีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนชาวบ้านชาวช่อง ก่อนจะทำอะไร ขอเถอะ อย่าร้างกันแบบง่ายๆ ด้วยอารมณ์เลยนะ เห็นใจเด็ก คนรอบข้างบ้าง
สวัสดีค่ะ
การหย่าร้าง ดีกว่าการอยู่ด้วยกันและทะเลาะเบาะแว้งกันให้เด็กเห็นนะ การตกลงกันด้วยดีก็ไม่ได้สร้างรอยร้าวให้กระทบจิตใจเด็กมากกว่าการรอคอยพ่อ แต่พ่อไม่มาหา
พี่ติดสินใจหย่าทันทีเมื่อรู้ว่า คนเป็นพ่อ ไม่เห็นความสำคัญของลูกเท่ากับผู้หญิงอีกคน
สวัสดีค่ะดิฉันมีปัญหาอยากจะอย่ากับแฟนค่ะเราไม่มีลูกด้วยกัน เหตุที่อยากจะหย่าเพราะว่า เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ตอนแรกเขาก็ดีนะค่ะแต่ฉันทนมา10กว่าปีแล้วค่่ะเขาเริมใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล บางครั้งทำร้ายฉัน บีบคอบ้างเวลาไม่พอใจ ด่าทอทำลายน้ำใจ เหยียดหยามไม่ให้เกียติกันและกัน ฉันเป็นฝ่ายต้องทนแต่ตอนนี้ฉันไม่อยากทนแล้วค่ะ แต่ฉันไม่มีความรู้เรื่องกฏหมายเลยค่ะไม่รู้จะฟ้องหย่าได้หรือเปล่า เพราะถ้าให้เขาไปหย่าเขาไม่ไปหรอกค่ะเพราะเขาเป็นคนมีหน้าตาในสังคม และมีความรู้มากกว่าฉัน เขากลัวว่าเขาจะเสียหน้า ทุกคนมองเข้ามาว่าฉันเป็นคนโชคดีเพราะเวลาต่อหน้าคนอื่นเขาทำตัวดี แต่พอลับหลังเปลียนเป็นอีกคน ไม่มีใครรู้เพราะเขาบอกว่าถ้าเอาไปบอกใครเขาจะเอาให้ตายฉันเลยต้องทน ไม่มีใครรู้ทุกวันนี้ฉันหนักใจมากไม่มีทางออกต้องทนอย่างเดียวขนาดจะกลับบ้านไม่ยอมให้กลับ บางครั้ง3-4ปีกว่าจะได้กลับบ้าน เขาไม่เคยไปบ้านฉันเลยค่ะ ขนาดวันพ่อตายเขายังไม่ยอมไปงานศพพ่อฉันเลยค่ะ เขาบอกว่าไม่ว่าง กลับบ้านแต่ละครั้งเขาถามแต่ว่าเอาเงินไปให้ใครบ้าง แต่ไม่เคยถามเลยว่าแม่เป็นยังไงบ้างฉันอยากกลับไปอยู่บ้านไปดูแลแม่ฉัน เพราะฉันไม่เคยไม่เคยได้ดูแลพ่อเลย พ่อเป็นอำมพาตขยับไม่ได้เวลาโทรไปฉันพูดฝ่ายเดียวพ่อพูดไม่ได้มันทรมานเหลือเกิน ไปบอกใครไม่มีใครเชื่อหรอกค่ะเขาเป็นคนดีในสังคมเขาสร้างภาพเก่งคะ ถ้าฉันไปทุกคนจะมองว่าฉันเลว แต่ฉันก็ยอมขอแค่ให้พ้นจากกรงทองแห่งนี้ก็แล้วกัน........คนอีสานพลัดถิ่นมาอยุู่ใต้
คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
ครอบครับเป็นศูนย์รวมของความรักความเข้าใจ
เมื่อสามียกความเป็นใหญ่ให้แม่บ้าน
คนที่เป้นแม่บ้านจึงต้องรับภาระครอบครัวมากขึ้น
ถ้ายอมไม่เป็นเย็นไม่ลง
ก่อนแต่งงานจะเก็บซ่อนความเป็นตัวตนไว้
หลังแต่งงานจึงแสดงความเป็นตัวตน
ความรักความเข้าใจทำให้อยู่ยืน
จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งนะค่ะหากใครมีความเห็นแนะนำ เพราะฉันไม่มีใครที่จะมาคอยปรึกษา เพราะบอกใครไม่ได้นอกจากวิธีนี้ค่ะ ว่าหากฉันจะหย่าควรทำอย่างไงฟ้องหย่าดีหรือเปล่า หากฟ้องมีโอกาศได้หย่าหรือเปล่า แต่ฉันก็กลัวว่าถ้าฟ้องหย่าแล้วเขาจะมาทำร้ายฉัน เพราะเขาเคยพูด