เริ่มครึ่งปีหลัง ทำอะไรกันบ้าง


เป้าหมายชีวิต การประชุม

เริ่มครึ่งปีหลังแล้ว ทำอะไรกันบ้าง

            เริ่มครึ่งปีหลังแล้ว เป็นการ kick off ไปยังเดือนธันวาคม ถ้าเป็นราชการก็คงเป็นการ kick off ไปเดือนตุลาคม ซึ่งจะหมดปีงบประมาณ 2552 ยังจำได้ ปีที่แล้วต้องไปชี้แจงตั้งหลายครั้งว่าทำไมใช้เงินไม่หมดซักที ปีนี้เลยเร่งงานให้หมดในช่วงครึ่งปีแรกทั้งหมด ทำให้วุ่นวายมาก

            ตอนนี้แก่แล้ว เริ่มนึกถึงชีวิตหลังจากนี้ ไม่เคยนึกถึงความตายเลย แต่ก็เริ่มคิดแล้วว่าเวลามันเหลือน้อยแล้วนะ เราทำอะไรตามที่ตั้งใจไว้ได้หรือยัง เคยอ่าน seven habits of highly effective people ของ Steven R Covey บอกไว้ว่า ให้นึกว่าตอนที่เขามายืนฝังศพเรา เราอยากให้เขาพูดถึงเราว่าอย่างไร ปัจจุบันต้องตั้งความหวังไว้ เวลาทำงาน การทำงานกับคนที่มี ambition นั้น น่าสนุกกว่าคนที่ทำงานไปวันๆ มาก สมัยก่อนเคยนึกรังเกียจคนพวกนี้เนื่องจากเขามีความตั้งใจมาก จนดูเหมือนประจบหรือเลียแข้งเลียขาคนอื่น พอแก่ตัวลง ก็รู้สึกว่าถ้าทำงานกับคนพวกนี้จะมีความสุขมากกว่าคนที่ทำงานไปวันๆหนึ่งแบบข้าราชการปัจจุบัน การตั้งเป้าหมายชีวิตนั้น บางคนก็ serious มาก แต่บางคนก็รู้สึกสนุก มีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์อยู่ตลอด แต่ก็ยังเดินไปทางเดิมอยู่เสมอ เปรียบเหมือน ขับรถไปโคราช มีทางไปหลายทางมาก จะออกจากกรุงเทพ ไปตรงๆ สระบุรีเลี้ยวขวา เดี๋ยวนี้มีเลี้ยวก่อนถึงสระบุรี หรือจะอ้อมไปบุรีรัมย์ ก่อนแล้วค่อยเข้าโคราชก็ได้ หรือจะไปโลด ถึงพิษณุโลก แล้ววนกลับมาลพบุรี เข้าเพชรบูรณ์ ออกขอนแก่น แล้วกลับมาโคราชก็ได้ ถ้าไม่มีเวลาจำกัด คุณจะเลือกไปทางใดก็ได้ เก็บเกี่ยวทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมาขณะผ่านทางเหล่านั้น  ที่พลาด ก็นำมาใช้ปรับปรุงแก้ไข ที่ชนะก็นำมาตั้งเป็นเป้าหมายหรือเสริมพลังการต่อสู้ของคุณต่อไป ไม่จำเป็นต้องรีบ อย่าลืม CSR ของชีวิต เป็นมิตรกับทุกคน อย่าเหยียบหัวดูหมิ่นเขา และให้กับสังคม ในวิชาชีพแพทย์โดยเฉพาะแพทย์ที่เล่นเรื่องการป้องกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีความรู้สึกเป็นสาธารณะ ปกปักความเป็นสาธารณะ และให้กับสาธารณะด้วย

            เพิ่งดู French open จบไป เชียร์ Roger Federer ดูเขาตีครั้งแรกที่สวีเดนหลายปีมาแล้ว สมัยนั้นภราดรได้แชมป์ Sweden open ดังมาก  RF เป็นนักตีที่ครบเครื่อง  เก็บอารมณ์ดีมาก ไม่ตีสีหน้าเลย เหมือน Bjorn Borg สมัยก่อน ดูแล้วมีความสุขเมื่อ RF ได้แชมป์ ดูรอบ quarter และ semi-final แล้วหวาดเสียวมาก กว่าจะชนะ Haas และ deport มากได้ ลุ้นแทบแย่ อ่านใน web มีทั้งคนชอบและคนด่า ปีที่แล้วมีแต่คนชมเวลาเล่นกับ nadal อยากให้ชนะ ปีนี้กลับเปลี่ยนไป ลองนึกดูก็เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ฝรั่งเขาว่าสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดี RF ชนะแล้ว มาดูฝ่ายหญิงบ้าง Safina และ คุซเซโนวา (ไม่รู้ถูกหรือเปล่า) ดูหน้าตา s เวลาตีซิ ทุกข์มากเลย ท่าทางไม่มีความสุข  ไม่เคยแห็นใครทำงานแล้วไม่มีความสุขแบบนี้เลย หลักการของอาชีวอนามัยคือ ทำงานในสถานที่ซึ่งปลอดภัย ปราศจากโรค และมีความสุขในการทำงาน ไปดูเทนนิสคู่ ผ่อนคลายกว่านี้มาก เนื่องจากทั้งสองคนต้องให้กำลังใจกันตลอดเวลา ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งทำหน้าเครียด คู่ของตนคงตีไม่ดีแน่

            มีการประชุมเรื่องหลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน occmed เมื่อเร็วๆนี้ ได้ไปประชุมมา รู้สึกว่าเหมือนพายเรือวนไปวนมาในอ่างใบใหญ่ กล่าวโดยสรุปคือ พูดเรื่องเดิม คนไทยเรานี้แปลก เวลามีคนพูดความเห็นดีๆ ถ้าไม่ใช่ความเห็นของเรามักจะไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเมื่อไร เราเป็นคนพูด คนอื่นไม่ฟังก็โกรธเหมือนกัน บางครั้งเอาความเห็นเดิมๆ ที่คนอื่นพูด มาออกความเห็น แต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นความเห็นใคร หรือบางคนแปลกกว่าไม่พูดอะไรเลย พอใกล้จบแล้วค่อยพูด ว่าไม่เห็นด้วย ลักษณะอีกอย่างคือ เวลาถกเถียงกันหาทางออกไม่เจอ เวลามีคนอื่นเสนอความเห็น มาจะรู้สึกเข้าท่าไปหมด ทั้งที่เป็นการวกกลับมาที่เดิม อย่างไรก็ดีบรรยากาศนั้นดีเนื่องจากเป็นนักวิชาการทั้งหมด มีการศึกษา รู้จักรุกรู้จักถอย รู้จัก win-win  ซึ่งผมว่าวัฒนธรรมเหล่านี้จะลดไปเรื่อยๆ เนื่องจากปัจจุบันการชุมนุมขออะไรซักอย่างนั้น ถ้าไม่ชนะ ก็ต้องไม่ยอมแพ้เด็ดขาด และไม่ยอมให้อีกฝ่ายชนะด้วย (เช่นล่าสุดมีการปิดถนนพระรามสี่) สรุปได้ว่าจะมีการเพิ่มสถานที่ฝึกอบรม และมีการจัดทำแผนงานเกี่ยวกับแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ในระดับชาติต่อไป น่าสนุก

            จบการฝึกอบรมแพทย์ 2 เดือนที่มาเรียนรู้พื้นฐานอาชีวเวชศาสตร์ รู้สึกใจหายทุกครั้งเวลาที่จบ ใจหายมาหลายครั้งก็แก่ไปหลายปี ในรุ่นหลังๆ นี้แต่ละคนที่เข้าอบรมต่างมีวัตถุประสงค์ของตัวเอง ซึ่งต้องขอบคุณ เวลาในการฝึกอบรม มีคนบ่นมาตลอดว่าเวลานั้นยาวนานมาก อบรม 2 เดือน ติดกัน แต่อย่าลืมว่าเวลาที่ยาวนานอย่างนี้ทำให้มีการกรองคนที่อยากมาเรียนจริงๆ (ถ้าไม่อยากมาคงไม่ต้องการมาเรียนติดกัน 2 เดีอนแน่) เวลาที่ยาวนานอย่างนี้ทำให้ได้รู้จักกันในรุ่นมากขึ้น และเวลาที่ยาวนานอย่างนี้ทำให้ผมและทีมงานรู้จักพวกนักเรียนเหล่านี้มากขึ้น เวลาที่ยาวนานปรับสภาพแวดล้อมและความเคยชินของนักเรียน ให้ออกจาก comfort zone ของตนเอง มาใช้ชีวิตร่วมกัน บางคนมาอยู่หอตลอด 2 เดือน ทำให้รู้จักกันดีขึ้น ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของหัวหน้ารุ่นที่จะสานต่อความสัมพันธ์เหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น และเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องหาความรู้ด้านอาชีวเวชศาสตร์ต่อไป เนื่องจากการเรียนครั้งนี้เหมือนเปิดหน้าหนังสือหน้าแรก และถ้าอยากอ่านให้จบก็ต้องเปิดหน้าต่อไปเรื่อยๆ ผมคงเป็นที่ปรึกษาและเป็นกำลังใจให้เท่านั้น

            ช่วงที่ผ่านมามีโอกาสไปประชุมที่ อาฟริกา งาน ICOH จริงแล้วไม่อยากไปเลย เนื่องจากแพงมาก และไม่เคยคิดอยากไปอาฟริกา จำได้ว่าเวลาเข้าเมืองใหนๆ จะต้องถามว่าเคยไปอเมริกาใต้หรืออาฟริกามาก่อนหน้านี้หรือไม่ ได้มีโอกาสไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง คนดำเนินงานเป็นคนดำทั้งหมดเลย เฟอร์นิเจอร์ก็ดูเก่าๆ แต่รู้สึกปลอดภัย อากาศดีมาก sunny ตลอด ในเมืองเดินไปทางใหนก็เห็นแต่ภูเขาโต๊ะทะมึน คลุมเมืองไว้ เมือง cape town ที่ไปเหมือนเมืองขึ้นอังกฤษทั้งหลาย คล้ายออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เพียงแต่เป็นคนดำเท่านั้นเอง บรรยากาศการประชุมจะเล่าให้ฟังทีหลังถ้ามีโอกาส

 

หมายเลขบันทึก: 266587เขียนเมื่อ 7 มิถุนายน 2009 23:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม 2012 09:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท