rucha
nuch รุจิราพร โชคพิพัฒน์พร

วิณญาณกับการทำงาน


ครั้นเลย เราเองไม่เคยจักมี การจัดการความรู้เลยสักนิด และเพียงแค่คนเคยทำงานจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในที่นี้ คงไม่ว่ากัน

 

  • วิณญาณกับการทำงาน
  •  
  • ก้าวเริ่มแรก จากการทำงานด้านสถานะบุคคลหรือการช่วยเหลือบุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ตลอดระยะกาลเวลาที่ล่วงเลยมากว่าสิบปี นั้น ไม่เลยที่จะมี คำว่า องค์ความรู้หรือประสบการณ์ใด มาถ่ายทอด นอกจาก จิตวิญาญาณที่ได้กระทำ  ผ่าน จิตวิญาณของบุคคลที่เป็นผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติเองหรือบุคคลที่อยู่ระหว่างคนไร้รัฐ นั้น ทำให้เขามีตัวตนอยู่ใน กระดาษ ที่เรียกว่า ทะเบียนราษฎรให้มีชีวิตที่ดีขึ้น โลดแล่นวิถีทางชีวิต กับเอกสารที่จักซึ่งได้มานั้นอย่างถูกต้องตามกระบวนการทางกฎหมายทะเบียนราษฎร และ กฎหมายนานา ที่เชื่อมโยงความเป็นบุคคล บุคคลหนึ่งที่มีชีวิตและจิตวิญาณ ทัดเทียมเท่า กับบุคคลธรรมดาสามัญชนทั่วๆไปได้
  • ใจตามจิตวิญาณที่ทำนั้น ก็เริ่มจากการได้สัมผัสถึงวิถีแห่งวิญาณผ่านกระดาษเท่านั้นหรือ มิใช่เลย เพราะมื่อได้สัมผัสแล้ว  รู้เพียงว่า มันเริ่มจาก ใจในจิตวิญาณผนวกกับสัญชาตญาณแห่งความไม่เทียมทัดของบุคคลระหว่างกัน
  • อนึ่ง ตัวตันแท้ ไม่ได้ริเริ่มคิดที่จะกระทำต่อบุคคลเหล่านี้มาเพื่อเป็น อาชีพเพียงอาชีพหนึ่ง ในการหล่อเลี้ยงให้ตัวตนแท้อยู่รอดได้ ตลอดมามันมีแต่ใจในจิตวิญาณนั้นจึงพึงกระทำ
  • เมื่อพึงกระทำแล้ว มันก็ได้สั่งสมกระบวนการผ่านบุคคล หลายวิถีของวิญาณที่พานพบและสัมผัส
  • ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาและบุคคลที่ไม่ธรรมดาก็ตามที
  • ครั้ณที่จะเอ่ยกล่าวเพื่อเหตุใดให้อยู่รอดได้ นั้นจักต้องมีองค์ประกอบความรู้ที่สั่งสมหรอกหรือ ถึงจะโลดแล่นผ่านกระบวนการทำงานในจิตวิญญาณนั้นได้ อย่างเอาตัวรอดมีชีวิตที่จักต้องพึ่งพิงบุคคลเหล่านั้น มาประกอบให้ตัวตนเป็นอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้
  • มิใช่เลย เราไม่เคยมีองค์ความรู้ถึงขั้นที่จะมาประกอบเป็นอาชีพได้ เราไม่ได้ผ่านกระบวนการทำงานในสำนึกหรอกหนา เพียงแต่ทำตามจิตและใจวิญาณตนเท่านั้น หนาที่ผ่านมา
  • รับรู้แล้วว่า เราต้องกล้าที่จะเผชิญสู่โลกแห่งความเป็นจริง
  • เราผนึกทบทวนดูแล้วสิ้น ว่าเราไม่ได้มีองค์ประกอบที่จะนำประสบการณ์ที่ผ่านจิตวิญาณของบุคคลเหล่านั้นมาประกอบเป็นอาชีพเพื่อหาเลี้ยงตัวตนได้ไม่
  • การทำงานด้วยวิถีอาชีพนั้น ต้องแลกด้วยเงินตรา ที่จักต้องหามาเลี้ยงชีพแห่งตัวตนรึ ถึงเพียงจะอยู่รอดได้ในความเป็นบุคคลธรรมดา 
  • เราจึงผนวกคิดได้เพียงว่า เงินตรานั้น ต้องแลกมาด้วยเหตุอันใดบ้างถึงจะต้องมีชีวิตที่รอดได้กับเวลาที่เหลืออยู่ ความใฝ่ฝัน ความต้องการ ในตัวตน นั้นไม่มีอีกแล้ว
  • ความฝันที่ทำไป ก็ได้ทำให้ความฝันการมีตัวตนของบุคคลเหล่านั้นมีตัวตนที่ถูกตรึงตราไว้กับกระดาษในแสดงความเป็นบุคคลเพียงเท่านั้น ได้ผ่านล่วงมาแล้ว
  • ความรู้ ประสบการณ์ สำหรับเราไม่ได้สามารถล่อเลี้ยงให้มีพลังโลดแล่นได้อีกต่อไป จักเมื่อวิญญาณแห่งการทำงานนั้นหมดสิ้นลง
  • ครั้นถึงวิถีปัจจุบันที่จะต้องก้าวเดิน ให้มีตัวตนจับต้องได้ด้วยเลือดเนื้อที่มี นั้นคือ การแสวงหาอาชีพเช่นสามัญชนทั่วไปพึงกระทำกระมัง  การมีอาชีพค้าขาย การมีอาชีพเป็นบุคคลเงินเดือน การมีอาชีพประกอบธุรกิจธุรการ หรืออาชีพใดเล่า ที่จะหล่อเลี้ยงตัวเราได้ มิต้องพึ่งพิงหรือสร้างความเดือดร้อนแก่บุคคลรอบด้านที่เราจักต้องเข้าร่วมกันอยู่ แม้กระทั่งสังคมแห่งครอบครัว หรือสังคมในวิถีที่แตกต่างกันในหมู่พลเมืองที่มีชีวี ชีวา ตามกาลเวลา
  • ณ กาลเวลาเพลานี้ ขอเพียงให้สำนึกเกิดพลังกายและใจ จักสู้ต่อเพียงเท่านั้น ให้มีวิถีอยู่รอดได้ โดยปราศจากความฝันอีกต่อไป จากที่เคยมีฝันและได้ทำลุล่วงแล้ว แต่เวลาที่เหลืออยู่ยังไม่หมดลง
  • ตัวตันที่ยังคงเหลือวิญญาณนี้ จักต้องมีชีวิตอยู่ต่อ นั้นจะเป็นอย่างไร ต่อไป นั้นใช่ความฝันหรือไม่หนอ  ฝันต้องมีชีวิตอยู่รึ ฝันว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรรึ ฝันเพื่ออะไรเล่าให้ ฝันนั้นมีพลังในการก้าวเดินต่อไป
  • ครั้นเลย เราเองไม่เคยจักมี การจัดการความรู้เลยสักนิด
  • ทำอย่างไรหนา ให้ฝึกตนที่ยังคงมีมันสมองเพื่อ จัดการความรู้ ที่มีเพียงน้อยนิดนี้ได้
  • และจำอย่างไร ให้สามารถ บริหารความรู้พอมี นั้นได้หนา
หมายเลขบันทึก: 265636เขียนเมื่อ 4 มิถุนายน 2009 12:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท