ครั้งหนึ่งผมติดไปกับอาจารย์หมอวิจารณ์ คราไปประชุมทำความเข้าใจเรื่อง KM ให้แก่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 7 สถาบัน ที่วิทยาเขตพาณิชพระนคร (นางเลิ้ง) เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินอาจารย์พูดเรื่องนี้ คือ เรื่องตุ่ม กับน้ำ
ก็น่าสงสัยนะครับว่า ตุ่ม กับ น้ำ เกี่ยวอย่างไรกับ KM บางท่านที่สนิทสนมกับ สคส. อาจคิดไปว่าเป็นเรื่องของ คุณตุ่ม (ศศิธร) กับ คุณน้ำ (จิราวรรณ) ทีม PR ของ สคส. ซึ่งก็ไม่ใช่ครับ ผมชอบข้อเปรียบเทียบนี้เลยขอเจียรนัยความหมายต่อจากอาจารย์วิจารณ์ในมุมของผมนะครับ
KM แบบเริ่มที่การสร้างตุ่ม
เรื่องมีอยู่ว่า หลายครั้ง หลายที่ หลายองค์กร เคยได้สนทนากับ สคส. ถึงเรื่องที่จะทำ KM ในหน่วยงาน เริ่มต้นด้วยความคาดหวังว่าจะได้ "ฐานความรู้" ที่สร้างขึ้นมาในองค์กร และคิดว่าจะเป็นที่รวบรวมความรู้ต่างๆที่เกี่ยวกับงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คนในองค์กรได้ใช้พัฒนาขีดความสามารถการทำงาน และกลายเป็น "องค์กรแห่งการเรียนรู้" ในที่สุด ด้วยความคิดริเริ่มในทิศทางนี้ก็จะมองไปที่ ระบบเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาออกแบบจัดการวางระบบ ซึ่งมักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก มีหลายองค์กรที่เคยเริ่มด้วยวิธีนี้ ตรงนี้แหละครับ ที่เรียกว่าสร้าง "ตุ่ม"
กล่าวคือ ทำ KM แบบเริ่มที่คิดหาตุ่มก่อน แต่ยังไม่เห็นน้ำ หรือบางที่อาจจะมีการออกแบบ เป็นระบบแท๊งค์น้ำที่มีระบบจ่ายน้ำอย่างดี แต่ตอนนั้นยังไม่มีน้ำเหมือนกัน มีก็อาจจะมีน้อย แบบนี้เรียกว่า ทำตุ่มเตรียมไว้ก่อน
KM แบบเริ่มที่การหาน้ำ
เป็นการเริ่มด้วยวิธีการหาน้ำ ดึงน้ำที่อยู่ใต้ดินที่แสนจะลึก เปรียบ "น้ำ" เหมือนกับความรู้ ยิ่งอยู่ในคนมากเท่าไร ก็เท่ากับอยู่ใต้ดินลึกเท่านั้น การเริ่มของรูปแบบนี้ก็จะเริ่มที่การหาวิธีการดึงน้ำขึ้นมาก่อนว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ยังไม่ฟันธงตอนแรกนะครับครับว่า "ตุ่ม" นั้นควรจะเป็นแบบใด
ทั้งสองแบบมีดี มีเสียต่างกัน ใครชอบแบบไหนก็ลองดูกันเอาเองนะครับ
อาจารย์หมอวิจารณ์เคยสำทับไว้นะครับว่า เมื่อมีน้ำก็ต้องเอามาใส่ตุ่ม ใส่ตุ่มแล้วก็ต้องตักเอามาดื่ม เอามาอาบ เอามาใช้ ไม่เก็บไว้เฉยๆ การหาน้ำมาใส่ในตุ่มให้มีน้ำอยู่เสมอนั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลา เหมือนการดึงความรู้ออกมาแล้ว ต้องมาปรับใช้ (ย้ำนะครับ ปรับใช้ ไม่ใช่ ลอกเลียนใช้) แล้วต้องสร้างหมุนเวียนความรู้ใหม่ๆ ทั้งความรู้ใน และความรู้นอกเอามาเก็บไว้ในคลังความรู้ ไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วก็เลิก เหมือนเอาน้ำใส่ตุ่มเต็มแล้วก็ไม่ทำอีกเลย อย่างนี้ละก็ เสียเวลาเปล่าๆ เสียเงิน เสียทอง และเสียแรงด้วย ถ้าทำแบบนี้สู้อย่าไปทำมันเลยครับ อย่างน้อยก็เก็บแรงเอาไว้ทำอย่างอื่นน่าจะดีกว่า