กิระ ดังได้สดับมา ภิกษุรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ถูกความกำหนัดยินดีมากวนใจทำให้องคชาตเเข็งตัวอยู่ำร่ำไป เธอเกิดความฟุ้งซ่านรำคาญไม่เป็นอันบำเพ็ญเพียร คิดแต่เรื่องเพศเรื่องกามารมณ์จึงตัดสินใจตัดองคชาตเสียด้วยคิดว่าเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ก่อแต่เรื่องเดือดร้อนใจให้ฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อน เมื่อตัดเเล้วค่อยสบายใจขึ้น หลังจากรักษาเเผลหายเเล้วจึงไปเล่าให้เพื่อนภิกษุฟัง ภิกษุเหล่านั้นจึงไปกราบทูลเล่าเรื่องของเธอให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระุพุทธเจ้าทรงตำหนิเเล้วทรงบัญญัติเป็นข้อห้ามไว้ว่า..."ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษนั้น เมื่อสิ่งที่พึงตัดอย่างอื่นยังมี ไพล่ไปตัดเสียอีกอย่างหนึ่ง ภิกษุไม่พึงตัดองคชาตของตน รูปใดตัดต้องอาบัต"
ท่านขยายความกันว่า สิ่งที่พึงตัดสำหรับพระภิกษุคือกิเลสได้แก่ ราคุ โทสะ โมหะ กิเลสเป็นสิ่งที่พึงตัดให้ขาดมิใช่ององคชาต ภิกษุผู้ตัดองคชาตเรียกว่า"โมฆบุรุษ" คือเป็นคนใช้ไม่ได้ ทำไม่ถูกตน้อง สิ่งที่ควรทำไม่ทำ กลัีบไปทำเสียอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นส่ิงที่ไม่ควรทำ....
คนเรามีงานที่จะต้องจัดต้องทำด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นงานส่วนตัว งานส่วนรวม หรืองานในหน้าที่ราชการ แต่ละงานล้วนเป็นสิ่งที่ต้องบริหารจัดากรให้ถูก อันไหนควรทำก่อนทำหลัง อันไหนควรทำเร็วทำช้า ต้องคิดต้องวางเเผนล่วงหน้า คนที่มีงานมีหน้าที่แล้วทำงานทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ย่อมได้รับความนับถือจากคนทั่วไปว่าเป็นคนรู้งาน รู้จักงาน รักทำงาน เเละบริหารจัดการงานเป็น แม้เมื่อทำด้วยความต้งใจด้วยความรุ้ความสามารถเต็มที่เเล้วงานไม่เสร็จไม่เรียบร้อยอย่างที่ต้องการ ผู้คนเขารู้เขาเห็ฯอยู่เขาก็ไม่ตำหนิ แต่กลับจะให้กำลังใจทำต่อไปเสียด้วยซ้ำ ส่วนผู้ใดตัวเองก็มีงานมีหน้าที่อยู่แต่ไม่รุ้งานไม่รู้หน้าที่ของตนบ้าง รู้แต่ไม่ทำบ้าง หรือไพล่ไปทำงานอย่งอื่นซึ่งไม่ใช่เรื่องของตนบ้าง เป็นเหตุให้งานให้หน้าที่ของตนบกพร่องเสียหาย คนเช่นนี้ย่อมเข้าข่ายเป็น"โมฆบุรุษ"คือเป็นคนไม่รับผิดชอบ บริหารงานไม่เป็น เสียรับวัดเสียคะเเนนไปโดยใช่เหตุ....
ไม่มีความเห็น