นอกจากนั้นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทริปเนปาลไม่ประทับใจ ก็เป็นเพราะการบริการของหัวหน้าทัวร์คนไทยที่นำคณะไปพูดได้คำเดียวว่า “ไม่เอาไหน” คุณเธอทำตัวเหมือนกับเป็นลูกทัวร์ที่ไปเที่ยวด้วยไม่ใช่ไปทำงานในฐานะหัวหน้าทัวร์ ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าว่าวันนี้จะไปเที่ยวไหน จะรู้ก็ตอนที่กำลังจะไป หลายครั้งต้องคอยถามว่าจะทานข้าวกันตอนไหน ทานเสร็จแล้วก็ต้องถามต่อว่ามีขนมหรือผลไม้ด้วยหรือไม่ หรือว่าเสร็จแล้ว ฯลฯ
วันสุดท้ายเป็นวันที่เรา “ฟิวต์ขาด” ถึงกับต้องเฉ่งหัวหน้าทัวร์ ท่านลองฟังดูนะว่าถ้าเป็นท่านจะรู้สึกอย่างไร วันสุดท้ายไปเที่ยวที่ต่างๆ แล้วก็ไปปล่อยให้เดินชอบปิ้งย่านถนนทาเมล นัดกันว่าสามโมงเย็นมาเจอกันที่หน้าร้านครัวไทย พอพวกเราสี่คนพ่อแม่ลูกมาก่อนเวลา ก็บอกว่ายังขาดอีกสองคน พวกเราก็เลยข้ามไปดื่มน้ำผลไม้กัน หันกลับมาปรากฎว่าทั้งคณะหายไปหมดแล้ว พวกเราก็เลยต้องเดินกันดุ่มๆ กลับตามเส้นทางเดิมที่ใช้ในตอนขามา ไปถึงที่จอดรถตรงที่ลงรถก็ไม่เห็นมีรถ เลยต้องเดินกลับมาตรงหัวถนนทาเมล
อาจารย์ประพนธ์บอกว่าให้ยืนรอตรงนี้ดีกว่า เพราะว่าเป็นทางแยกมองเห็นได้หลายทาง รออยู่พักใหญ่ๆ คิดในใจว่าสงสัยต้องไปสนามบินเองแล้ว โชคดีที่อาจารย์ประพนธ์เห็นไกด์ท้องถิ่น (คุณ JP) เดินมา เขาบอกว่าให้ยืนรอตรงนี้ เขาจะไปตามอีกหลายคนที่ร้านครัวไทย พอครบคนก็เดินตามเขาไปยังที่ๆ รถจอด ขึ้นไปบนรถเห็นหัวหน้าทัวร์สาวของเรานั่งลอยหน้าอยู่บนรถแล้ว รู้สึกโกรธมากเลย จำได้ว่าเบรกแตกพูดไปว่า “ทุเรศมากเลย เกิดมาไม่เคยเจอหัวหน้าทัวร์แบบนี้” พอมีการขอทิปให้หัวหน้าทัวร์ ครอบครัวเราพร้อมใจกันไม่ให้ เพราะเธอไม่สมควรจะได้รับ . . .
เราคอยว่าจะมีใบคอมเม้นท์ให้เขียนเมื่อไร แต่ปรากฏว่าไม่มี ตั้งใจว่าจะเขียนแนะนำเธอว่า “น่าจะเปลี่ยนอาชีพใหม่ อย่าเป็นเลยไกด์ ถ้าไม่มีใจบริการ” กลายเป็นว่าความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อบริษัทฯ นี้ (ที่คุณสมปองทำคะแนนไว้ในช่วงที่ติดต่อจองทัวร์) หายไปเกือบหมด นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ เท่านั้นนะ ถ้าจะเขียนบรรยายว่าหัวหน้าทัวร์ทำอะไรไว้บ้าง อีกสิบหน้าก็บรรยายไม่หมด เอาเป็นว่าที่ทัวร์เนปาลไม่เป็นที่ประทับใจ คงเป็นเพราะหัวหน้าทัวร์ก็แล้วกัน หากถามว่าอยากกลับไปเนปาลอีกไหม ก็คงไม่ใช่อากาศแบบนี้ และก็ไม่ใช่ที่เมืองกาฐมาณฑุ ชอบเมืองโปครามากกว่าเพราะว่าสะอาดกว่ากาฐมาณฑุมาก
ไม่มีความเห็น