เช้าวันนี้ (15 เมษายน) ใครที่จะไปบินชมยอดเขาเอเวอเรส์ (Mt. Everest) ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า เพื่อไปขึ้นเครื่องบิน Mountain Flight (ต้องจ่ายเงินเพิ่ม) ส่วนพวกที่เหลือตื่นสายได้ เพราะตามโปรแกรมบอกว่าจะออกจากโรงแรมเวลา 9.00 น. แต่ปรากฏว่าล่าช้าต้องรอพวกที่ไปบินให้กลับมา กว่าจะออกจากโรงแรมได้จริงๆ ก็ปาเข้าไป 10.10 น. ทัวร์พาไปชมวิหารกุมารี (บ้านเทพธิดาพรหมจรรย์ - Kumari: The Living Goddess) จากนั้นก็ไปนมัสการเจดีย์สวยมภนารท (Swayambhunath) เป็นเจดีย์ที่ตั้งอยู่บนเขา สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองกาฐมัณฑุได้ ที่นี่ผมได้ลิ้มรสชานมของเนปาลเป็นครั้งแรก อร่อยดีและก็ถูกด้วย
เที่ยงวันทานอาหารจีน ทานเสร็จไปชมพระราชวังหนุมานโดก้า (Kathmandu Durbar Square) ซึ่งเป็นพระราชวังเก่าแก่ของกษัตริย์แห่งประเทศเนปาล เวลาที่เหลือปล่อยให้ช๊อปปิ้งที่ถนนทาเมล ก่อนพาไปสนามบินตรีภูวันเพื่อเดินทางกลับประเทศไทยโดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 336 มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลาสี่ทุ่มกว่าด้วยความอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง ในรายการทัวร์เขาเขียนไว้ว่า “ถึงกรุงบเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ” แต่ผมไม่กล้าใช้ประโยคนี้ เพราะอะไร . . . ต้องติดตามอ่านตอนหน้า ตอนสุดท้ายครับ
เมืองเนปาล..เป็นประเทศที่อยู่ในความใฝ่ฝันว่าจะต้องไปให้ได้เชียวค่ะ..
ขอบคุณภาพบันทึกและเรื่องราวน่าสนใจนี้ค่ะ..^^
อย่าลืมอ่านบันทึกของภรรยาผมที่เขียนต่อจา่กบันทึกนี้ . . . มีทั้งหมดห้าตอนครับ