ผมไม่เคยลืมสมเพ็ชร คนที่สอนให้ผมรู้ว่า การทำงานตามภาระหน้าที่ของคนคนหนึ่ง
สามารถมีความหมายกับคนอีกคนหนึ่งมากเพียงใด ถ้าเพียงแต่เราได้ทำอย่างเต็มกำลัง
ความสามารถและด้วยความปรารถนาดีแล้ว งานนั้นย่อมประสบผลสำเร็จในไม่ช้า
วันที่ผมรู้จักสมเพ็ชร เป็นวันที่ผมรู้สึกตื่นเต้นและท้าทายอย่างประหลาดกับภารกิจใหม่ที่
ได้รับมอบหมายหลังจากเป็นผู้อำนวยการไม่ถึง 1 เดือน เพราะได้รับคำสั่งจากนายอำเภอให้ไปรับ
คนป่วยมารักษา
“หมอช่วยไปดูคนไข้หน่อยนะ หมอเห็นหนังสือพิมพ์เขาลงข่าวไหม ที่ว่า พ่อ
สุดโหดขังกรงลูก ปล่อยเป็นชีเปลือย กินถ่ายในกรง ผู้ว่าฯ ท่านสั่งมาให้ทางอำเภอและทาง
โรงพยาบาลช่วยไปดูหน่อย เดี๋ยวจะโดนว่า ว่าทางการไม่ดูแล” นายอำเภอกล่าวด้วยความกังวล
ผมรับคำโดยไม่ลังเล ด้วยความคิดว่า อยากเห็นเหมือนกันว่าชีเปลือยเป็นอย่างไร แล้วทำไมพ่อจึง
ต้องขังกรงลูกด้วย ทำไมจึงโหดผิดมนุษย์มนากันนัก
หลังจากกลับมาถึงโรงพยาบาลบ้านหลวง ผมบอกให้พยาบาลแจ้งคนขับรถแล้วนัดกับ
เจ้าหน้าที่ของอำเภอไปพร้อมๆกันจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาในคราวเดียว ผ่านไปไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง
รถขับผ่านถนนลาดยาง แล้วต่อด้วยทางลูกรังดินแดง จนปลายหมู่บ้าน ก็เลี้ยวเข้าไปจอดที่บ้านไม้
หลังเล็กๆดูแข็งแรงแต่ค่อนข้างเก่า ผมรีบโดดลงไปเพื่อเข้าไปทักทายเจ้าของบ้าน
แล้วผมก็ต้อง ผงะกับกลิ่นเหม็นเน่าราวกับสุนัขตาย แล้วในแวบนั้นผมก็พบกับสมเพ็ชร เมื่อมองผ่านไม้ท่อน
เท่าแขน ผมพบกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับไม่อนาทรร้อนใจต่อเรื่องใดๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวสมเพ็ชร
ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว ผมยาวเกือบถึงพื้น หนวดเครายาวจนพอจะรู้ว่าคงนานไม่น้อยกว่า 6
เดือนแล้วมั้งที่ไม่ได้โกนหนวด พอพอกับกลิ่นเหม็นที่บอกถึงเวลานานแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ
กรงขนาด4 เมตรคูณ 4 เมตรที่อยู่ใต้ถุนบ้านนั้นแคบไปถนัด เมื่อเห็นถึงเศษอุจจาระและ
อาหารที่กระจัดกระจายอยู่ในกรง
“ ขังกันเหมือนลิงเหมือนค่างเลยนะ” ปลัดอำเภอที่มาถึงพร้อมๆกันบ่น
ชายวัยชราคนหนึ่งซึ่งดูใบหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดินเข้ามาทักพร้อมยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณหมอ คุณหมอจะทำอะไรก็ทำเถอะ ผมไม่ไหวแล้วไม่เอาแล้ว มันทั้งดื้อ ทั้งทำร้าย
คนในหมู่บ้านตั้งหลายคน ทุบหม้อแปลงไฟฟ้าจนไฟดับทั้งหมู่บ้าน ผู้ใหญ่ต๊ะมาบอกให้ผมต้อง
รับผิดชอบจ่ายเงินชดเชย ผมล่ะจนปัญญาจริงๆ จึงต้องขังมันไว้ ไม่งั้นเอาไม่อยู่จริงๆ” ชายชราที่
ผมทราบในเวลาต่อมาว่าเป็นพ่อของสมเพ็ชร บ่นด้วยความทุกข์ใจ เพราะทราบจากอาสาสมัคร
ประจำหมู่บ้านแล้วว่าหมอจากโรงพยาบาลบ้านหลวงจะมารับลูกไปรักษา
กว่าจะพาสมเพ็ชรมาถึงโรงพยาบาลได้ต้องฉีดยานอนหลับไปหลายเข็ม เพราะว่าสมเพ็ชร
ทั้งดิ้นและทุบตีคนที่พยายามพาขึ้นรถ คงเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะพาไปไหน หรืออาจจะไม่รู้อะไร
เลยก็ได้ ก่อนออกมาจากบ้านสมเพ็ชร
พ่อสมเพ็ชรบอกว่า “ผมตามหมอไปดูแลสมเพ็ชรที่ โรงพยาบาลไม่ได้นะ เพราะผมต้องทำงาน ไม่งั้นไม่มีกิน แล้วอีก 2 วันผมจะไปเยี่ยมมันอีกที”
ถ้าเป็นคนไข้คนอื่นผมคงจะต่อรองกับญาติผู้ป่วยว่าถ้าญาติไม่มา เราก็ไม่รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล
แต่กรณีสมเพ็ชรนั้น ผมคิดว่ายากที่จะชักจูงพ่อให้ไปดูแลได้ เพราะดูจากท่าทีของพ่อแล้ว เหมือน
จะเบื่อหน่ายกับสมเพ็ชรที่เป็นโรคนี้มานานกว่า 5 ปี ซึ่งผมทราบในช่วงที่ซักประวัติว่า สมเพ็ชร
ป่วยมา 5 ปีแล้ว ไปรักษามาหลายแห่ง พออาการดี กลับมาก็ไม่ยอมกินยา จนมีอาการอีก
Sila Phu-Chaya
น้องศิลาคะ
เป็นเรื่องเล่าที่แม่ต้อยพยายามเอาต้นฉบับของคุณหมอมาเล่าต่อ ให้เห็นถึงความตั้งใจมากๆของหมอในการช่วยให้คนๆหนึ่งที่แม้แต่ญาติ หรือครอบครัวไม่ต้องการ ให้กลับมีชีวิตใหม่ได้ พึ่งตนเองได้
คิดว่าทั้งน้องสมเพชรตอนแรกอาจจะไม่ทุกข์ เพราะไม่รู้ แต่คนที่อยู่นอกกรงคือคุณพ่อของน้อง อาจจะทุกข์มากกว่า
เป็นความพยายามของคนที่ไม่เก่งทางเทคโนโลยีเช่นแม่ต้อยจึงทำให้เรื่องเล่านี้ แบ่งเป็นตั้ง ๔ ตอนคะ
ขออภัยในความไม่สะดวกมาด้วยนะคะ