บันทึก แค่ "คำนิยม" ของหนังสือ "ปรากฏการณ์ตาสว่าง" ของ คมสัน วิเศษธร ได้นำทางมาสู่หนังสือเล่มหนึ่ง ของนักเขียนคนหนึ่งที่ยังเป็นที่รู้จักกว้างขวาง หากแต่วิธีคิดและงานเขียนที่ออกมาในหนังสือ "ปรากฎการณ์ตาสว่าง" น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า เขามีอะไรดีสักอย่าง
บันทึกนี้ ขอนำเสนอจุดเริ่มต้นของ "ปรากฎการณ์ตาสว่าง" มาให้ลองสัมผัสวิธีคิดของเขาดู
ในชีวิตนี้หลายคนคงกำลังเฝ้าตามหาอะไรบางอย่างให้กับตัวเอง
ใจรู้เพียงว่าวันนี้ต้องการมีบางสิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับชีวิต
โหยหาบางอย่างที่จะมาเติมเต็มตัวเราได้
อาจเป็น การงานอันมีเกียรติ ผลตอบแทนที่สูงลิ่ว รักที่ยั่งยืน ครอบครัวที่มั่นคง ฯลฯ
แม้ไม่เคยล่วงรู้ว่าเส้นทางชีวิตจะเป็นเช่นไร จะราบรื่นหรือสะดุดติดขัดช่วงไหน บางครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังเดินอยู่บนทางขึ้นหรือทางลง
แต่ใจเราก็คิดและหวังจะครอบครองอะไรบางอย่างอยู่เสมอ
ทุกวันนี้สังคมเน้นความรวดเร็วเป็นสำคัญ ผู้คนส่วนใหญ่ชาชินกับความเร็วจนเป็นนิสัย ทำอะไรก็ต้องให้ได้อย่างว่องไว ยิ่งเร็วเพียงใดเราก็มีเวลาเหลือให้ทำสิ่งอื่นได้มากเท่านั้น
ผมก็เช่นเดียวกัน ตื่นเช้าขึ้นมาใจก็เริ่มคิดฟุ้ง อยาได้นั่นได้นี่ไปเสียหมด พออยากให้ทุกสิ่งเป็นได้ดั่งใจโดยเร็ว ผมก็ทำสิ่งเหล่านี้อย่างฉาบฉวย ไม่เคยศึกษาสิ่งที่ต้องการให้ลึกซึ้งเลยสักครั้ง
อยากได้งานดีก็รีบสมัครไปหลายที่ พยายามเติมแต่งหาประสบการณ์ให้กับตน แต่กลับไม่เคยใคร่ครวญถามตัวเองเลยว่า ระหว่างงานที่เหมาะสมกับการได้งานทำเร็ว ... อย่างไหนดีกว่ากัน
ผมไม่เคยคิดว่างานการก็คล้ายกับอาภรณ์ประดับกาย หากเลือกไม่เหมาะ เข้าคู่กันไม่ได้ อย่างไรก็คงต้องถอดออกวันยังค่ำ อย่าว่าแต่ตอนที่มีงานทำอยู่เลย แม้ขณะที่ตกงานผมก็ยังหลงคิดว่า ชีวิตนี้จะง่ายและรวดเร็ว ตัวเราเองก็คงว่างงานไม่นานนัก
ท้ายที่สุดความจริงกลับตรงกันข้าม การที่ผมทุ่มเททำทุกสิ่งอย่างรีบร้อน เรียกว่า จับฉ่ายไปเสียหมด กลับไม่ช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตเลยสักนิด ยิ่งผมคาดหวัง ทำอะไรให้รวดเร็ว ผมก็ยิ่งไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังขาดความรักในสิ่งที่ทำ ไม่เคยเฉลียวใจว่าทุกอย่างล้วนมีขั้นตอน มีเหตุปัจจัยด้วยกันทั้งนั้น...นี่คือความเข้าใจผิดของผม
ผมหน้ามืดตามัวอยู่อย่างนั้นหลายเดือน แน่นอนว่าทั้งร่างกายและจิตใจต่างพากันทรุดโทรมไปกันใหญ่ จึงเริ่มกลับมาคิดว่าจากประสบการณ์ทำ
งานประจำหลายปีที่ผ่านมา
ผมพร้อมหรือยังที่จะกลับไปทำงานร่วมกับผู้อื่น
บาดแผลในใจจากเพื่อนร่วมงานที่เคยมี ตอนนี้มันหายดีแล้วหรือยัง
ก่อนจะรีบกรอกใบสมัครแล้วกดส่งทางอินเทอร์เน็ต ผมรู้ตัวไหมว่าต้องเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมรับกับสภาพของการงานอย่างไร
รู้วิธีจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตนดีพอไหม
มีความรักให้กับงานที่สมัครไปหรือเปล่า
...ผมตอบคำถามเหล่านี้กับตัวเองได้หรือไม่
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สะกิดให้ผมต้องหันย้อนกลับมามองข้างในของตัวเองอย่างจริงจัง แล้วหลังจากนั้นอีกคำถามหนึ่งก็ตามมา...
ผมเคยอ่านศึกษาตำราหลายเล่มกล่าวไว้ว่า "ความสุขล้วนอยู่ที่ใจ"
เหตุใดผมจึงยังไม่พบ
ตั้งแต่นั้นมา ผมเริ่มหยิบจับหนังสือธรรมะที่เคยได้รับมา เริ่มเข้าหาสถานที่อันสงบและร่มเย็น เพื่อตามดูความเคลื่อนไหวของจิตใจ ผมค่อย ๆ ซึมซับความเรียบง่ายและความสงบในธรรมชาติควบคู่ไปกับการได้เริ่มเห็นนิสัยและธรรมชาติของตัวเอง
นี่คือวิธีที่ค่อย ๆ เปลี่ยนคนที่มีคุณสมบัติ ว่องไว ให้กลับมารื่นรมย์กับการก้าวเดินอย่าง เชื่องช้า ได้
การมุ่งไขว่คว้าหาบางสิ่งไปเรื่อย ๆ ดูช่างแสนไร้ค่า ไม่มีความหมายใดที่จะคงอยู่กับเราได้นานเลย ไม่ว่าจะเป็นเงินตรา วัตถุ ความมั่นคง กระแสสังคม หรือชื่อเสียง ล้วนแล้วแต่ทำให้การก้าวย่างของเราหยุดชะงักได้ทั้งนั้น
ชีวิตไม่ใช่สิ่งทดลอง เราไม่จำเป็นต้องตะเกียกตะกายกันตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่ก้าวเดินควรเป็นก้าวย่างด้วยความเชื่อมั่นออกมาจากใจ
ถึงมันจะช้าบ้าง...ก็ไม่เป็นไร
ทุกคนต้องเคยผิดพลาดกันมาก่อน
เราอาจโดนคำนิยมต่าง ๆ ครอบงำจนตามไม่ทันความรู้สึกนึกคิด
เราหมุนตาม "อะไรบางอย่าง" จนแทบจะขาดมันไม่ได้
เราเห็นแต่โลกภายนอก แต่เราไม่เคยนึกถึงสภาพความเป็นจริงของโลกภายใน
ไม่เคยได้สำรวจถึงความอ่อนไหวของจิตใจกันบ้าง
ชีวิตทั้งชีวิตคือตำราเล่มใหญ่ หากเราจัดระเบียบประสบการณ์ให้ถูกต้อง จัดหมวดหมู่สิ่งที่มีประโยชน์ แล้วลบล้างสิ่งที่เป็นเหมือนขยะออกไป ชีวิตก็จะเคลื่อนต่อไปได้อย่างมีความสุขและลงตัว
หากชีวิตกำลังมืดมน ผมเชื่อว่า หนทางสว่างยังเปิดกว้างรอเราเสมอ ยิ่งเป็นช่วงชีวิตที่ทุกสิ่งกำลังผันแปร เรายิ่งต้องอย่ายอมแพ้กับชีวิต เพราะนี่คือ
โอกาสอันดีที่จะเปิดประสบการณ์ให้เราได้หยุดวิ่ง แล้วนิ่งมองความจริงข้างใน
และเมื่อนั้นเราก็จะ ... "ตาสว่าง"
......................................................................................................................................
ผมชอบวิธีคิดและมุมมองของเขา
ใช้ภาษาเรียบง่าย แต่เข้าใจลึก
ผมเชื่อว่า หากกัลยาณมิตรท่านใด เข้ามาอ่านแล้ว
อาจจะค้นพบอะไรบางอย่างก็ได้
โคลนเกิดจากน้ำก็ใช้น้ำล้างโคลน ทุกข์เกิดจากใจก็ใช้ใจล้างทุกข์ ... ว.วชิรเมธี
บุญรักษา ทุกท่าน :)
.......................................................................................................................................
แหล่งอ้างอิง
คมสัน วิเศษธร. ปรากฏการณ์ตาสว่าง. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ธรรมะ, ๒๕๕๒.
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณครับ คุณ ครูคิม :)