ส่วนในประเภทที่สองนี้เป็นบุคคลที่ไม่ได้เข้าเมืองแต่เขาได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งบิดา มารดา หรือบิดาหรือมารดาที่เป็นคนลาวได้เข้ามาในประเทศไทยแต่ได้คลอดลูกหรือเกิดในประเทศไทยส่วนมากจะเป็นแรงงานลาวในประเทศไทย หรือบิดา มารดาที่เป็นคนไทยมีสัญชาติไทย ซึ่งบางคนก็มีสัญชาติไทย บางคนก็ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งถูกหาว่าเป็นคนที่เข้าเมืองผิดกฎหมายและบางคนก็ถูกถือว่าเป็นคนลาวอพยพ ทั้งๆที่พวกไม่ได้เดินทางเข้าเมืองมาด้วยตัวเขาเอง
ตัวอย่าง 1 ในกรณีที่เป็นลูกของม้งลาวในจำนวนหนึ่งใน 153 คน[1] เพราะคนที่ลักลอบเข้าเมืองมาจริงๆมีจำนวน 152 คนและอีกหนึ่งคนเป็นคนที่เกิดในประเทศไทยในขณะที่กำลังดำเนินการพิสูจน์สัญชาติลาวอยู่[2]
เป็นแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งที่เคยรายงานตัวทำทะเบียนประวัติราษฎรไว้กับกรมการปกครองที่มีใบ ท.ร.38/1 แต่เป็นบุคคลที่ไม่เคยขอใบอนุญาตทำงานเลย หรือเคยขอใบอนุญาตทำงานแต่ขาดการต่ออายุใบอนุญาตการทำงานไปแล้ว และก็อาจสามารถดำเนินการเพื่อขอใบอนุญาตทำงานใหม่ได้ตามระยะเวลาหรือตามนโยบายของรัฐ
ตัวอย่าง 2 ในกรณีของ นาย เป็ง ให้ปากคำว่า เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2499 จึงมีอายุ 51 ปี เขาเกิด ณ หมู่บ้านหนองแต้ใหญ่ แขวงจำปาศักดิ์ สาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาว ในขณะที่เขาเกิด ไม่มีการแจ้งการเกิดของเขาในทะเบียนราษฎรของประเทศลาว ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าในยุคนั้นอาจจะยังไม่มีทะเบียนราษฎรลาว และต่อมาก็มีปัญหาความไม่สงบในประเทศลาว จึงไม่มีใครในหมู่บ้านที่เขาเกิดได้รับการจัดทำทะเบียนราษฎรและบัตรประชาชนลาว ต่อมาในราว พ.ศ.2515 ซึ่งมีเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศลาวในท้องที่ที่นายเป็งอาศัยอยู่มากขึ้น เขาและครอบครัวจึงอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทยทางด่านช่องเตาอู ใกล้บริเวณที่ชาวบ้านเรียกว่าพรานกระต่าย และมาอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพแก่งยางในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ในราว พ.ศ.2518 เขาไม่เคยได้รับการสำรวจจากเจ้าหน้าที่กรมการปกครองไทยเลย นับตั้งแต่เขามาอาศัยในประเทศไทย เขาจึงไม่มีชื่อปรากฏในแบบพิมพ์ประวัติตามกฎหมายทะเบียนราษฎรไทยที่มีชื่อว่า “ลาวอพยพ” ดังเช่นที่เพื่อนบ้านมี
นายเป็งได้อยู่กินกันฉันท์สามีภริยากับนางเผิง ซึ่งอพยพมาด้วยกันจากแขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว และมีบุตรด้วยกัน 7 คน คนแรก ก็คือ นางภูวร ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2524 ณ บ้านแก่งยาง (ศูนย์อพยพแก่งยาง) จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากเป็นทำคลอดกันเองในป่า จึงไม่มีเอกสารรับรองการเกิดที่ออกโดยผู้ทำคลอดหรือผู้รักษาพยาบาล
นางภูวรได้แต่งงานตามประเพณีโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับ นายประสิทธิ์ และ มีบุตร 2 คน คือ ด.ญ.นิดา อายุ 4 ปี และ ด.ช.อำคา แก้วมั่น อายุ 2 ปี นายเป็งและครอบครัวประกอบอาชีพด้วยการทำงานหัตถกรรม เช่น กระติ๊บข้าวเหนียว ฮวดนึ่งข้าว หาของป่า เพื่อนำไปแลกข้าวสาร[3]
ใน พ.ศ.2547 มีการประกาศให้คนสัญชาติลาวที่เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย ไปแสดงตัวเพื่อขึ้นทะเบียนบุคคลในสถานะของ“แรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน” นายเป็งและครอบครัวจึงไปแสดงตนที่อำเภอและขอขึ้นทะเบียนดังกล่าว โดยผลของการนี้ นายเป็งถูกระบุในแบบรับรองทะเบียนประวัติของคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ท.ร.38/1) ที่ออกโดยอำเภอบุณฑริก ว่ามีสัญชาติลาว เอกสารดังกล่าวระบุว่า เขาอาศัยอยู่ ณ บ้านแมด อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งครอบครัวนับถือศาสนาพุทธ นายเป็งมีความรู้ทางภาษาไทยในระดับฟังและพูดได้เท่านั้น ไม่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาไทยได้เลย
อนึ่ง โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ.2547 รัฐบาลไทยกำหนดกฎระเบียบที่จะให้สิทธิอาศัยชั่วคราวแก่คนต่างด้าวจากประเทศลาว พม่า และกัมพูชา หากบุคคลดังกล่าวไปแสดงตนขึ้นทะเบียนกับเขตหรือเทศบาลหรืออำเภอหรือกิ่งอำเภอ แล้วไปรับใบอนุญาตทำงานตามมาตรา 12 (2) แห่ง พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 และไปตรวจสุขภาพตามที่กำหนดในมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
จะเห็นว่า นายเป็งได้ไปขึ้นทะเบียนบุคคลกับอำเภอบุณฑริกเท่านั้น แต่มิได้ไปรับใบอนุญาตทำงานและไปตรวจสุขภาพ นอกจากนั้นยังพบว่านายเป็งไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎรของประเทศใดเลยทั้งลาวและไทย อ่านต่อในบทที่๓
ไม่มีความเห็น