แตงไทย
นฤมล ชื่อเล่น "แตงไทย" (สำหรับครอบครัว), "แตงอ่อน" (สำหรับเพื่อนๆ), "I tang" (สำหรับพี่ๆ ทั้งหลาย) จันทรศรี

ชีวิตและความตาย ; ได้ตายก่อนตาย ก่อนเรียนชีวิตและความตาย (๑)


 

เว็บศูนย์รวม "โยคะสารัตถะ"

 

บทที่ ๑ 
ได้ตายก่อนตาย ก่อนเรียนชีวิตและความตาย

บทที่ ๒ 
"กล้าพอไหม ที่จะเรียนวิชาชีวิตและความตาย"

บทที่ ๓ 
"เรียนอะไร ในชีวิตและความตาย"

บทที่ ๔.๑ 
"เทอม ๒ ในวิชาชีวิตและความตาย"

บทที่ ๔.๒ 
"ออกไปสัมผัสผู้คนด้วยวิชาชีวิตและความตาย"

บทที่ ๕
"ห้องเรียนแห่งความเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต"

บที่ ๖
""เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตจากความตาย"

ดล เกตน์วิมุต (ครูดล)
(เข้าอ่านงานเขียนทั้งหมดของครูดลได้ที่นี่)

โยคะสารัตถะ ฉบับเดือน กันยายน ๒๕๕๑

 

           "กว่าจะเรียนจบวิชาชีวิตและความตาย" วิชาเพื่อจิตวิญญาณรุ่นแรกของประเทศ เป็นความรู้สึกตอนที่เริ่มลงมือเขียนบทความนี้จริง ๆ ซึ่งเป็นไปใน ๒ บริบท บริบทแรกเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจว่ากว่าจะเรียนจบ จบแล้วหรือนี่ เป็นความรู้สึกจบทางใจครบถ้วนด้วยตัวของมันเอง เป็นการเรียนจบในภาคทฤษฎี และลงพื้นที่ฝึกงานในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลผู้ป่วยหลายแห่งด้วยกัน และที่สำคัญได้มีโอกาสก่อตั้งเครือข่ายชีวิตสิกขา (ชี-วิ-ตะ-สิก-ขา) ในทันทีที่สำเร็จ Course Work ซึ่งใช้เวลาที่ผ่านมาอย่างมีคุณค่าเป็นเวลากว่าปีครึ่ง        
           ในอีกบริบทของคำว่า กว่าจะเรียนจบ คือกว่าจะได้ Master of Arts in Life and Death Studies พุทธศาสตรมหาบัณฑิต วิชาชีวิตและความตาย ก็ยังเหลือวิทยานิพนธ์อีกตั้งเล่มหนึ่ง ที่มีเวลาให้ทำเหลือเฟือต่อจากนี้ไปอีก ๕ ปี 
           แต่ไม่ว่าจะให้ความหมายของคำว่า กว่าจะเรียนจบ อย่างไรก็ไม่สำคัญ เท่ากับการได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจตัวเอง เห็นความเป็นไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ศึกษาวิชาที่ว่าด้วยจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ เป็นวิชาที่รู้สึกว่าเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งน่าจะได้มีโอกาสเรียน จะได้ไม่เสียชาติเกิด เพราะชื่อวิชาก็ตรง ๆ และชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็น วิชาชีวิตและความตาย Life and Death Studies วิชาเพื่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต เมื่อเราเข้าใจตัวเองดีมากเพียงใด เราก็จะเข้าใจผู้อื่นมากเพียงนั้น เมื่อเรียนจบแล้วก็ไม่ได้นำไปใช้เพื่อการทำงานทางโลก หาเงินหาทอง นำพาไปสู่ความเจริญในวัตถุนิยม บริโภคนิยม หากแต่เป็นไปเพื่อความงอกงามด้านจิตวิญญาณของตัวเองและสามารถเกื้อกูลต่อสังคมได้ในฐานะที่จะได้มีโอกาสรับรู้ถึงคุณค่าของชีวิตที่เหลืออยู่
           ขออุทิศคุณค่าของบทความนี้ให้กับผู้ให้กำเนิดชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมของข้าพเจ้า ตลอดจนทุก ๆ ชีวิต ที่มีความเชื่อมโยงแด่กันและกัน

บทที่ ๑
"ได้ตายก่อนตาย ก่อนเรียนชีวิตและความตาย"


           เพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนั้นมี สิ่งนั้นจึงมี ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีเหตุปัจจัยอันเป็นไปตามกฎอิทัปจยตา มิได้หมายถึงเป็นไปตามยถากรรม แต่ทุกสิ่งเป็นไปตามกรรม หรือ การกระทำ (Action) นั่นเอง ดังนั้นคงต้องเล่าถึงเหตุปัจจัยที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของข้าพเจ้าเอง ก่อนจะได้มาเรียนวิชาชีวิตและความตายรุ่นแรกของประเทศ
            แม้จะทราบดีว่าการถ่ายทอดประสบการณ์ตรงผ่านตัวอักษร ยากที่ผู้อ่านจะมีความเข้าใจ สัมผัสถึงความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะที่เป็นประสบการณ์ตรงเฉพาะตน หรือปัจเจก ถึงแม้จะถ่ายทอดจากปากสู่ปากก็ยังไม่ได้อยู่ดี เปรียบเทียบเหมือนหนอนแก้วพี่น้อง ที่เมื่อพี่ลอกคราบกลายเป็นผีเสื้อไปแล้วได้ลิ้มลองชิมความหวานของมธุรส จึงบินกลับมาหาน้องเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกหวานฉ่ำให้น้องได้รับรู้ว่าอีกไม่นานน้องจะได้เจอความหวานของดอกไม้ น้องหนอนก็นึกไปว่าจะวิเศษขนาดไหนเชียว ก็ใบไม้ที่น้องหนอนแทะอยู่ทุกวันก็หวานมันจะตายอยู่แล้ว พี่ผีเสื้อยืนยัน บินยันว่าแตกต่างนะไม่เหมือนกันหรอก ความหวานมันของใบไม้ เทียบไม่ได้กับความหวานของดอกไม้เลย เชื่อพี่นะ ถึงน้องหนอนจะทำความรู้สึกว่าเชื่อพี่ก็ได้ เพราะพี่ผีเสื้อก็ได้ชิมทั้งความหวานของใบไม้และดอกไม้ แต่ก็ไม่อาจรับรู้สัมผัสความหวานอันแท้จริงของดอกไม้ได้ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะเล่าถึงเหตุปัจจัย จะมีประโยชน์มากหากท่านเปิดใจรับรู้เรื่องราว แล้วรับรู้สิ่งที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะถ่ายทอด
           จากการที่ได้มีโอกาสสะสมการเจริญสติภาวนากับครูบาอาจารย์หลายท่านที่ให้ความเมตตามาตั้งแต่อายุ ๑๘ ลบอายุปัจจุบันก็เกือบ ๒๐ ปีมาแล้วที่เริ่มฝึกการเจริญสติโดยไม่ได้มีใครชักชวน ต้องมีเหตุปัจจัยมาจากอดีตชาติแน่แน่ และย่อมเป็นธรรมดาของผู้ปฏิบัติที่ย่อมต้องเจอสภาวะธรรมต่างๆ นานา ที่บอกให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เดินย่ำอยู่กับที่ แต่จะเป็นการก้าวเดินอย่างลัดตรง หรือเดินอ้อมไปอ้อมมา เดิน ๆ หยุด ๆ ชมนั่นนิด ชมนี่หน่อย แวะพักริมทางเป็นพัก ๆ ตามเหตุปัจจัย เพราะส่วนใหญ่ก็จะเจอภาวะที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราพิเศษกว่าคนอื่น ตาทิพย์ ได้เห็นอดีตชาติ เห็นอนาคต หูทิพย์ ต่าง ๆ นานา ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดมาแล้วทำให้รู้สึกว่าตัวตนใหญ่ขึ้น ชัดเจนขึ้น ข้าเก่ง ข้าแน่ แต่ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้รับความเมตตาจากครูบาอาจารย์เป็นเหตุปัจจัยไม่ให้หลงไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้น จึงเป็นการรับรู้ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ เพราะกลับรู้สึกว่า เราเข้าถึงความเป็นปกติของจิต ศักยภาพทางธรรมชาติของมนุษย์คนหนึ่งที่พึงมีได้เท่านั้นเอง และมนุษย์ทุกคนล้วนมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่ความปกติที่สุดของตัวเอง มันรออยู่ตรงนั้น เพียงรอเวลา ช้าหรือเร็ว ที่ให้เราเข้าไปค้นพบ
           แล้ววันที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบความเป็นปกติที่สุดก็เกิดขึ้นหลังจากได้ภาวนาไปได้น่าจะประมาณ ๓ นาที ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกว่าลมหายใจตัวเองกำลังจะขาดหายไป ซึ่งครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ภาวนาไปได้สักพักจะเกิดลมหายใจละเอียดแผ่วเบาสงบขึ้น ซึ่งเป็นความคุ้นชินทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เพราะอยู่อยู่ก็ไม่สามารถหายใจได้ จึงพยายามจะหายใจ แต่ไม่มีทั้งลมหายใจเข้า และลมหายใจออก จากที่พยายามยื้อก็ถอดใจ และวางใจได้ว่า ไม่เป็นไร ตายเป็นตาย ตายในขณะปฏิบัติธรรม ก็ดีเหมือนกันเพราะเรายังมีสติอยู่ตลอด ถือว่าไม่เสียชาติเกิด และวางใจได้ในขณะที่ไม่มีลมหายใจ แต่แล้วก็เกิดความรู้สึกกระเพื่อมขึ้นอย่างรุนแรงต่อจากนั้น นั่นคือเกิดการรับรู้ว่าร่างกายตัวเอง เนื้อหนังอวัยวะของร่างกายถูกฉีกดึงรั้ง และกำลังจะปริขาดเป็นเสี่ยง ๆ รู้สึกถึงการหวงของความมีอยู่ของกายแต่แล้วความรู้สึกตัวก็บอกให้วางใจ ตายเป็นตาย พอวางใจคลายความยึดมั่นการมีอยู่ของกายได้ ร่างกายก็ค่อย ๆ สลายหลุดร่อนป่นเป็นผุยผงสลายไปทีละนิด ๆ ล่องลอยขึ้นเป็นเกลียวตาม ๆ กันไป เหมือนทิศทางของลมพายุหมุน แต่เป็นจังหวะที่สลายไปอย่างนุ่มนวลจนไม่เหลือความมีอยู่ของกาย พอรับรู้ได้ว่าลมหายใจหมดไป กายสลายไป เหลือแต่จิตได้สักพักก็เข้าสู่กระบวนการสลัดความมีอยู่ของจิต คือเข้าสู่การหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็ว เร็วอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะมีเครื่องมือใดที่หมุนรอบตัวเองได้เร็วขนาดนี้ ตรงนี้นี่เองอยากใช้คำว่ามหาสติที่ได้สะสมมาได้ถูกนำมาใช้ทำให้ค่อย ๆ แยกการรับรู้ออกไปเป็นผู้ดู ถอดถอนออกจากการเป็นผู้เป็น ผู้ถูกกระแสหมุนครอบงำ ทำให้ความเร็วของการหมุนค่อย ๆ ช้าลงและหยุดลง และเมื่อหยุดลง ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของคำว่าอนัตตาก็บังเกิดขึ้น ความเข้าใจของคำว่าทุกสิ่งเป็นเนื้อเดียวกันทั้งจักรวาลก็บังเกิดขึ้น ไม่มีการเคลื่อนตัวไปไหนได้อีกเพราะมันเต็มอยู่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปหมด ไม่มีสังขาร ไม่มีสัญญา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีเวทนาเลย เข้าถึงความปกติธรรมดาที่แท้จริงที่ไม่มีในโลก
           เมื่อออกจากภาวะนั้นแล้ว ได้เห็นสิ่งที่คล้าย ๆ ไอน้ำอยู่ใต้ชั้นผิวหนังเต็มเป็นหมด มีลักษณะเหมือนกากเพชรสะท้อนแสง ยุบยิบสวยงามมากเต็มไปหมดทั้งฝ่ามือ ลองพยายามถูมือให้ไอน้ำหายไปแต่ทำไม่ได้เนื่องจากไอน้ำไม่ได้เกิดขึ้นบนผิวหนังแต่อยู่ใต้ผิวหนัง แต่เมื่อนั่งพักสักครึ่งชั่วโมงสิ่งที่ปรากฎก็ค่อย ๆ จางหายไป
           เจตนาในการเล่าประสบการณ์ตรงเฉพาะตนเพียงต้องการสื่อให้เห็นถึงการเข้าไปค้นพบความปกติธรรมดาที่แท้จริงนั้นต้องใช้มหาสติที่ค่อย ๆ สะสมมา ทำให้ได้พบภาวะกระบวนการดับของชีวิต หรือตายก่อนตายจริง เริ่มจากลมหายใจ กาย และจิต ต่อเนื่องเป็นสาย ทำให้เกิดปัญญาว่าชีวิตมิได้เป็นตัวทุกข์ แต่ความยึดมั่น ถือมั่นต่างหากที่ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ ดังนั้นวิถีแห่งความหลุดพ้นจากความทุกข์ของชีวิตคือการฝึกให้มีสติ รู้เท่าทันว่าในปัจจุบันขณะ เรากำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่กับสิ่งใด เมื่อ...รู้...(มิใช่คิด) เท่าทันแล้วก็จะปล่อยวางได้เองโดยอัตโนมัติ มีอิสระจากลมหายใจ หลุดจากความหลงผิดในความมีอยู่ของรูปหรือกาย ปลดเปลื้องจากพันธนาการของนามทั้งปวง ถอดถอนคลายความยึดมั่นถือมั่นได้อย่างแท้จริง เข้าสู่ภาวะอนันตลักษณะที่ไม่สามารถเคลื่อนไปไหนได้อีกเพราะเป็นเนื้อเดียวกันกับทุกสรรพสิ่งในสภาวะอนันต์ เข้าใจความเป็นจริงของทุกสิ่งอย่างลึกซึ้ง เห็นความเป็นไปในกฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างวิเศษ ไม่มีความหวาดหวั่นต่อความตาย เพราะความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับผู้เจริญสติอยู่เนือง
           แล้วภาวะแห่งการลอกคราบจากหนอนเป็นผีเสื้อก็บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า จากที่ดำเนินชีวิตเป็นไปเพื่อตัวเองเป็นหลักมาก ๆ อยู่ในกระแสวัตถุนิยม บริโภคนิยม มีความสุขทางโลกกับชีวิตไปวันวัน ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะดูเหมือนจะมีชีวิตอันปกติด้วยซ้ำ เพราะคนอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนี้ แปรเปลี่ยนไปสู่การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของชีวิตอย่างแท้จริง มองย้อนกลับไปว่าที่ผ่านมาไม่ได้ปกติเลย แต่มีความผิดปกติเป็นอย่างมาก ที่วนเวียนอยู่ในความหลง ความอยากได้อยากมี อยากครอบครอง ลาภ ยศ สรรเสริญ เหมือนมดแดงไต่ขอบกระด้ง หรือพายเรือวนอยู่ในอ่าง ค่อย ๆ ตื่นและน้อมนำไปสู่การดำเนินชีวิตเพื่อผู้อื่น เพราะเรารู้สึกว่าเราเต็มแล้ว พอแล้ว และอยากแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น ทำคุณประโยชน์เพื่อสังคมในการบอกทางว่าฝั่งนั้นมีอยู่จริง ๆ

 

 

(ต่อฉบับหน้า)

 



ภายใต้มูลนิธิหมอชาวบ้าน

2220/101 ซอยรามคำแหง 36/1  ถนนรามคำแหง  แขวงหัวหมาก  
เขตบางกะปิ  กรุงเทพฯ  10240  
โทรศัพท์  02-732-2016 - 17, โทรสาร 02-732-2811 มือถือ 081-401-7744 ; 
E-mail: [email protected] ; www.thaiyogainstitute.com

 .....

หมายเลขบันทึก: 252984เขียนเมื่อ 3 เมษายน 2009 09:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท