วัยกลางคน (เรื่องเล่า 4 เกลอ )


ตอนนี้ก็อายุมากขึ้น หูตาไม่ว่องไว เหมือนเดิม ก็ต้องดูแลกัน อยู่กันมาร่วม 20 ปีแล้ว มันเหมือน คนๆเดียวกัน ทุกครั้งที่มองไป เห็นหลับอยุ่ข้างๆ ก็อุ่นใจว่าปลอดภัย ถ้ามีธุระต้องไปพักที่อื่น อยู่คนละที่ ก็อดห่วงไม่ได้

วัยกลางคน (เรื่องเล่า  4 เกลอ)

 

 

    เพื่อนคนหนึ่งบินมาจากภูเก็ต มาเยี่ยมคุณแม่ที่กรุงเทพ  โทรบอกว่า ถ้าว่างเย็นนี้  ( วันอาทิตย์  29  มีค. 52 )

เจอกัน  ทานข้าวด้วยกัน และบอกให้ผมโทรบอกเพื่อนอีก 2 คนด้วย  การนัดหมายมีขึ้นค่อนข้างเร็ว ง่ายๆ และสบายๆ

          พบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แถวรัชดา ประมาณ 1 ทุ่ม  เป็นร้านเหมาะสำหรับนั่งกินข้าว คุยกัน มีเสียงเพลงจากเปียโน และนักร้อง เล่นและร้องเพลงไทย สลับเพลงฝรั่ง เสียงไม่อึกทึก   เราต่างสั่งอาหารจานเดี่ยว

และเครื่องดื่ม ตามถนัด

        

 

         อายุของหนุ่มทั้งสี่ อยู่ระหว่าง  40  กลางๆ ถึง ปลาย   เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ เรียน ชั้น ป.5  ถึง   ม.ต้น ในโรงเรียน ที่เป็นชายล้วน ต่างจังหวัด เข้ามาอยู่ ทั้งเรียนและทำงานในกรุงเทพ จน 2 คน มีธุรกิจ เป็นของตนเอง

อีกสองคน แม้จะเป็นลูกจ้าง แต่ก็มีตำแหน่ง หน้าที่การงานดี และรายได้อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ

 

      สำหรับ สถานภาพ  มีลำดับดังนี้

     คนหนึ่งโสด

     คนหนึ่งแต่งงานแต่งไม่มีลูก

     คนหนึ่งแต่งงานมีลูก และอยู่กับเมีย

     คนหนึ่งแต่งงานมีลูก  และ หย่ากับเมีย

 

  เมื่อพูดถึงความรัก  ทั้งสี่มีความรัก  แต่ไม่เหมือนกัน

 

    คนหนุ่มโสดหัวเราะอารมณ์ดี เมื่อได้รับโทรศัพท์และคุยกับสาว  เพื่อนถามว่าสาวอายุเท่าไหร่แล้ว เขาบอกว่า 23-24 ปี แถมใช้ศัพท์ว่า เป็นกิ๊ก เพื่อนบอกว่า คุณเป็นหนุ่มโสด จะมีแฟนก็มีได้ อยากแต่งงานก็แต่งได้ บางคนมีความเห็นว่าน่าจะหาเมียที่อายุใกล้กันหน่อย  อีกคนบอกว่าสำคัญคือแต่งได้แต่อย่ามีลูก เพราะอายุมากแล้วหากจะมีลูก จะเหนี่อยน่าดู ไม่รู้ว่าจะได้อยู่เห็นลูกรับปริญญาหรือเปล่า อีกคนพูดแบบหนักแน่น ว่า มีงานวิจัยใหม่พบว่า

ถ้าคนเป็นพ่อ มีอายุมาก ลูกจะไม่สมบูรณ์ มีเซลสมองทีไม่แข็งแรง (แต่ก่อนคิดว่า เป็นเฉพาะถ้าแม่อายุมาก)

 

    คนที่หย่ากับเมียเริ่มยุว่าอย่าแต่งดีกว่า ผมได้เมียที่เอาแต่แต่งตัว ใช้จ่ายเงินเก่ง ซื้อแต่ของเบรนด์แนม ราคาแพงๆ  ผมลงทุนให้ทำการค้า แรกๆก็บอกว่าธุรกิจนี้ น่าสนใจ  สินค้าเป็นที่ต้องการของตลาด ผมทั้งลงทุนให้ ทำสัญญาเช่าร้านในศูนย์การค้าใหญ่    แรกๆ ก็สนใจไปดู แค่ 2-3 เดือน ก็ไม่ใส่ใจ  ค้าขายไม่ดี ก็บอกว่าจะไปสะเดาะเคราะห์  เอาเงินไปเช่าเครื่องราง ของขลังจากเกจิอาจารย์ หมดเงินไปตั้งเยอะ  ลงทุนกี่อย่างๆก็เจ๊ง  ผมทุกวันนี้ ต้องหาส่งลูก 2 คนเรียน บางทีเมียยังมาขอเงิน ผมก็ยังให้ไปบ้าง เพราะเห็นว่ายังไงๆ ก็แม่ของลุก   

 

  เพื่อนถามว่า แล้วรักกันมากี่ปี   เขาตอบว่า  ก่อนแต่งก็ 1ปี แต่งแล้ว ใหม่ๆ จะข้ามถนนก็ยังต้องจูงกัน แต่ง

ไป 5- 6ปี เห็นจะได้ ข้ามถนนต่างคนต่างข้าม บางทีโมโห อยากให้รถชนเสียด้วยซ้ำ

  เพื่อนถามต่อ  แล้วโกรธกันนานใหม ถึงตัดสินใจหย่า   เขากำลังสนุกกับการเล่า บอกว่า ไม่พูดกันเป็นปีๆ

แต่ก็ยังอยู่บ้านเดียว แรกๆก็นอนเตียงเดียว แต่หันหลังให้กัน ต่างคนต่างนอน ที่ทนอยู่เพราะเห็นแก่ลูก แต่นานไป

ใครจะไปทนสภาพอย่างนี้ไปได้นาน ก็ต้องหย่ากัน เขานิ่งและเว้นวรรค ไปสักอึกใจ

   เพื่อนๆเหมือนจะรู้ทัน ทักขึ้นว่า มีเรื่องของผู้หญิงอื่นเขามาหรือเปล่า  เขาไม่ลังเลที่จะตอบ  มันเป็นจังหวะอย่างนั้นพอดี  

 ช่วงที่ผมเบื่อๆ ไม่อยากกลับบ้าน  ผมไปเข้าร่วมกิจกรรม เป็นธุรกิจที่มีการไปอบรม สัมมนาและรู้จักกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง

 

 ทั้ง 3 คน ที่นั่งฟัง เหมือนจะเคยดูหนัง หรือฟังเรื่องแบบนี้มาบ้าง  มีเสียงลอดออกมาเบาๆว่า เออรู้แล้ว  คนเล่าเองก็หัวเราะ  (มิน่าหละ)  แต่เขาก็ยังเล่าเรื่องนี้ต่อ เหมือนการเล่าเรื่องการพบรักใหม่  แต่เป็นรักร้าย ที่มันจบเร็วววว

 

หนุ่มโสด เก็บประเด็นจะถามเพื่อนไว้นาน คงรอจังหวะ 

  ผมอยากถาม 2 คนนี้ ว่า แล้วตอนนี้ยัง จูงมือเมียข้ามถนนไหม  คำตอบคือ  จูง  อีกคนก็บอกว่าจูง  แถมเพิ่มน้ำหนักไปอีกว่า ตอนนี้ก็อายุมากขึ้น หูตาไม่ว่องไว เหมือนเดิม ก็ต้องดูแลกัน อยู่กันมาร่วม 20 ปีแล้ว มันเหมือน คนๆเดียวกัน ทุกครั้งที่มองไป เห็นหลับอยุ่ข้างๆ  ก็อุ่นใจว่าปลอดภัย  ถ้ามีธุระต้องไปพักที่อื่น  อยู่คนละที่ ก็อดห่วงกันไม่ได้

 

 

พุดถึง ความเหงา   ทั้งสี่มีความเหงา แต่ไม่เหมือนกัน

   2 คนที่มีเมีย  บอกว่า เมียเป็นคู่ชีวิต ชีวิตคู่  ก็คือมีคู่ ถ้าอยู่กัน 2 คน ไม่มีลูก  ห่างกันก็เหงา ถ้ามีลูกอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่เหงา  ชีวิตครอบครัว หลายๆคน กินข้าว ไปดูหนัง ท่องเที่ยวด้วยกัน  ก็สนุกไปอีกแบบ  ครอบครัวที่ไม่เหงา คนที่อยู่ด้วยกันก็ต้องคอยห่วงกัน คิดถึงกัน   ตอนลูกเล็กๆ เราไม่เคยอยู่กับเขา  ให้เขาอยุ่กับย่า อยู่กับยาย เขาก็รักย่า รักยาย ไม่ค่อยรักเรา   คิดว่าวันนี้พอมีตำแหน่งหน้าที่สูงแล้ว  ลูกน้องก็พอมีช่วยงาน และรู้งานแล้ว สถานทางการเงินก็มั่นคงแล้ว   อยากจะหาเวลาสนิมสนมกับลูกบ้าง  เขาไม่อยากสนิมกับเราแล้ว เขาเป็นวัยรุ่น อยากไปกับเพื่อนมากกว่า  ลูกจึงไม่สนิทกับพ่อหรือแม่  แม้มีลูก ก็ใช่ว่าจะไม่เหงา   

        ความเหงาของคนโสด คงไม่เหงานัก ในยุคมีโทรศัพท์ มือถือให้ใช้  อยากคุยกับใครก็โทรได้ทันที ยุคก่อนอาจจะต้องให้ใครตามมารับโทรศัพท์ แต่ยุคนี้ โทรศัพท์ เขาถึงตัว (เขาถึงหัวใจด้วยหรือเปล่า ไม่รู้)  แต่ถ้า ถึงมื้อกลางวัน พอวางจานอาหารลงบนโต๊ะ สิ่งที่ทำทันที คือ โทรถามว่า  เธอกินข้าวแล้วยัง  ตอนนี้อยู่ใหน มากินข้าวด้วยกันไหม  โดยทีฝ่ายรับยังไม่ทันตอบ  ก็มีคำถามต่อๆกันออกไป เพื่อให้รู้ถึงความห่วงใย  แต่พออีกฝ่ายตอบว่า อ้าวจำไม่ได้เหรอ ก็โทรบอกแล้วไงว่า ไปต่างจังหวัด เสียงพูดตามมาแบบเขินๆ ออกมาว่า เหรอ  แล้วไป  คนแบบนี้ ไม่เหงา  ถึงจะโสด  ก็เถอะ

  คนโสดหรือไม่โสด ที่ต้องการมีเพื่อนคุย โดยที่ต้องจ่ายค่าเพื่อนคุย  เพื่อให้ ช่วงเวลา หลังเลิกงานไปถึง ปิดไฟนอน  ผ่านพ้นไปได้อย่าง รื่นรมย์  คิดว่าเขาเหงาไหม

 คนทีมีลูก และอยู่กับเมืย บอกว่า  "ผมเคยถาม เพื่อนร่วมงานผู้คนหนึ่ง แต่ก่อนผมเห็นว่า เธอคนนั้น เป็นผู้หญิงทั้งเก่ง สวย ฉลาด พฤติกรรมขอเธอตอนนั้น น่าจะแต่งกับงานมากกว่าแต่งงาน  เธอบอกว่า ที่เธอตัดสินใจแต่งงาน เพราะ ความคิดที่เปลี่ยนไป  เธอเล่าว่า  

  วันหนึ่ง หลังเลิกงาน  เธอกลับถึงที่พัก  ระหว่างวัน เธอโดนฝน ทำให้รู้สึกเหมือนมีไข้ และเป็นหวัด  หลังสระผมแล้ว  เธอมาที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งทีวีเปิดอยู่  เธอได้ยินตัวเอก ถามนางเอกว่า "ที่รัก จะดื่มน้ำสักแก้วไหม "   เธอ นึกถึงตัวเองขึ้นมาทันที   เธอนึกว่า  เราเป็นไข้ เป็นหวัด จะมีใครมาถามสักคำไหมว่า จะดื่มน้ำไหม กินยาแก้ไข้ หรือยัง  หลังจากวันนั้น เธอเปลี่ยนแปลงตนเอง และพบรักหนุ่มและแต่งงาน

   เพื่อนๆ อีก 3 คน ต่าง  ทักว่า  เอาเรื่องของตัวเองมาเล่าหรือเปล่า  หนุ่มที่พบรักและแต่งงาน คนนั้น คือผมเอง   ก็บอกมาเลย   

 

พูดถึงอนาคต   ต่างอายุมากขึ้นแน่นอน แต่บางคนไม่แก่

           ทั้ง 4 มีวัยที่ไล่เลี่ยกัน   แต่บางคนดูหนุ่มกว่า ทั้งที่เกิดก่อน  แล้วสถานภาพ ที่ต่างกัน เกี่ยวอะไรด้วยไหม บางคนอาจนึกว่า คนโสดสิ น่าจะดูหนุ่มตลอด  แต่   เพื่อนที่เป็นหนุ่มโสด ใน 4 คนนี้ กลับดูแก่กว่าคนอื่น

 

ทั้งๆที่  เขาไม่มีความวุ่นวายใจ เกี่ยวกับลูก    ไม่มีความรำคาญใจ ถ้าเจอเมียขี้บ่น    มีเงินก็ใช้จ่ายคนเดียว (แต่รายนี้ มีแม่ที่เขาก็ดูแลด้วยบ้าง)   มีอิสรภาพ อยากไปเที่ยวใหนก็ไป (แถมพูดภาษาอังกฤษเก่ง  ภาษาจีนกลางก็ได้)

แต่  เขาบอกว่า  ไม่มีคนคอยเอาใจ  แถม กินข้าว พักผ่อนไม่เป็นเวลา  และสูบบุหรี่ ดื่มมาก   (ไม่มีเมีย คอยบอกว่าเหม็นบุหรี่ หรือไม่มีลูกสาวมาบอกว่า พ่อ  เลิกบุหรี่เถอะ หนูอายเพื่อนในชั้น เวลาคุณครูถามว่า  นักเรียน ใหนดูซิ  พ่อใครยังสูบบุหรี่บ้าง  ยกมือขึ้น

 จริงไหมที่คนมีคู่แล้ว จะไปออกกำลังกายพรอ้มกัน คนโสดต้องไปวิ่งจ๊อกกิ้งคนเดียว ในเครสนี้ เพื่อนที่แต่งงานแล้ว คู่หนึ่งชอบไปเดินออกกำลังที่ศูนย์กีฬา ของ กรุงเทพมหานคร (ซอยรามอินทรา 5) ส่วนอีกคู่ ไปปั่นจักรยานที่ สวนรถไฟ (ใกล้สวนจตุจักร) คนที่หย่าเมีย  ไปตีกอล์ฟกับลูกชายบ้างเป็นครั้งคราว  ส่วนคนหนุ่มโสด จะเข้า ฟิตเนท  และ ชอบอบซาวน่าด์   ทั้งสี่สนใจการดูแลสุขภาพ

 

กลับบ้นเรา รัก(ยักษ์)  รออยู่

           ค่ำวันนี้เป็นค่ำวันอาทิตย์  เวลาก็ใกล้ 5 ทุ่มแล้ว ไม่มีใคร เอ่ยปาก ชวนใครไปต่อที่ใหน เมื่อมีคนหนึ่งบอกว่า คงต้องกลับแล้ว  คนอื่นๆก็เห็นพ้องตรงกัน เพราะพรุ่งนี้ ต่างต้องทำงาน   บางคนไปเยี่ยมแม่  บางคนต้องตื่นแต่เช้าไปส่งลูก เรียนพิเศษ (ช่วงนี้ปิดเทอม )ต้องเรียนพิเศษ (เออ ทำไมต้องเรียนพิเศษด้วย เหมือนกับตอนเปิดเทอมที่ต้องไปโรงเรียน เพียงแต่ไม่ต้องแต่งชุดนักเรียน)

 ทั้ง 4 คน ยังอยู่ในวัยทำงาน  ยังมีผู้คนแวดล้อม ที่ผูกพัน เกี่ยวข้องด้วย  มีประสบการณ์ในอดีตที่เป็นบทเรียนชีวิต

มีอนาคตที่ต้องเผชิญกันต่อไป 

            (เรื่องราวข้างต้น เขียนจากการสนทนากันจริงๆ  9 ใน 10 ส่วน อีก 1 ส่วน ผู้เขียน ปรุงแต่งเพื่อให้ได้มีโอกาสแทรกข้อคิด ที่อดนึกแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมตื่นขึ้นมาเช้านี้  ยังนึกว่า ดีนะ  เรื่องที่คุยกันเมื่อวาน หลายอย่างได้เอามาคิดต่อ  บางเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นกับตัวเราใน ตอนนี้  คล้ายกับ  เรื่องที่เราเคยฟังผู้ใหญ่เล่าตอนเราเป็นเด็ก  เรื่องที่เราเคยฟังและเกิดแรงต้าน เงียบๆในใจว่า ไม่น่าจะเป็นจริง แต่ก็เกิดขึ้นกับเรา เมื่อวัยนี้มาถึง  เหมือนกับจะเตือนให้เรา หาโอกาสเล่าบอกให้คนรุ่นต่อไป)

 

                                                           .........................................................................

 

หมายเลขบันทึก: 251961เขียนเมื่อ 30 มีนาคม 2009 16:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม 2012 17:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

อ่านแล้ว คิดอะไรได้เยอะเลยคะ ขอบคุณคะ

  • รุ่นเดียวกันตามมาอ่าน
  • เป็นไรไหม  อิอิ
  • แต่งงานแล้วไม่มีลูก  ก็ไม่เหงาอย่างที่คิด
  • เพราะมีน้องหมาเป็นลูกมากมาย
  • มีงานรับผิดชอบมากมาย
  • ที่สำคัญ คือมีหลานที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก
  • ทำตัวน่ารักเหมือน..ยิ่งกว่าลูก
  • จนคนอื่นๆเห็นแล้วอิจฉา
  • จะบอกว่าวันนี้ดีใจจังได้รับเมล
  • จากเพื่อนเก่าที่มีลูก 2 เมีย 2 ( ปัจจุบันเหลือ 1)
  • จากอเมริกา แล้วจ้า
  • แวะมาเยี่ยมก่อนไปนอน
  • รออ่านบันทึกใหม่
  • เรื่องเพื่อนๆ คบ.
  • อยากดูภาพเพื่อนๆอีก
  • โก้สบายดีนะ
  • ประกาศๆๆๆ
  • เพื่อนหาย
  • ใครเจอเอามาคืนที่นี่ด้วย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท