กรรมเทคโนโลยี


กรรมให้ผลทันตา

ผลของกรรมดีและกรรมชั่ว

เรื่องที่ 1
*** หญิงคนหนึ่งบ้านอยู่เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ได้พูดเกี่ยวกับประวัติพ่อให้ผู้เขียนฟังโดยสังเขปว่า พ่อมีอาชีพรับจ้างฆ่าสุนัข บ้านหลังไหนไม่ต้องการสุนัข นึกอยากจะกำจัดสุนัขเจ้าของจะจ้างเขาไปจับ เมื่อเขาจับได้แล้วก็จะเอาเชือกผูกคอสุนัขแขวนไว้กับต้นไม้ที่สวนหลังบ้าน จนสุนัขมันทุรนทุรายดิ้นตายไปเอง เสร็จแล้วเขาจะฝังสุนัขเอาไว้ที่สวนหลังบ้าน ได้ค่าจ้างกำจัดสุนัขตัวละ ๓๐๐ เป็นอย่างต่ำ นับว่าเป็นอาชีพหลักที่ทำรายได้ให้กับพ่อสมควร เขาทำอย่างนี้มาเกือบ ๑๐ ปี อยู่ต่อมาเขาก็ล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บ้างครั้งก็ทำท่าทางเหมือนสุนัขกำลังถูกแขวนคอ มือหงิก มืองอ ตาเหลือก ตาค้าง ร้องเหมือนสุนัข วันหนึ่งเมื่อลูกสาวไม่อยู่บ้าน พอกลับมาถึงบ้านตอนเย็น อนิจจา ? ก็เห็นพ่อแขวนคอตายที่ใต้ต้นไม้ต้นเดียวกันกับต้นที่เขาเคยฆ่าสุนัขนั่นเอง ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อเพราะพ่อเพิ่งตายไป ได้ ๗ วันพอดี


เรื่องที่ 2

*** เมื่อปี ๒๕๔๗ ช่วงต้นปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้จัดงานทำบุญไถ่ชีวิตโค-กระบือขึ้นที่วัด ได้มีผู้มีจิตศรัทธาทำบุญใหญ่ครั้งนี้ด้วยพอสมควร หนึ่งในจำนวนผู้มีกุศลจิตศรัทธานั้น มีผู้หญิงท่านหนึ่งอายุประมาณ ๕๐ ปี เป็นคนค่อนข้างมีฐานะ ได้โทร ฯมาหาผู้เขียน ประมาณ ๓ ทุ่มตรง บอกว่า "หลวงพ่อเจ้าค่ะ โยมจะนำวัวตัวผู้มาถวายหลวงพ่อ ๑ ตัว เวลาตี ๑ นะเจ้าค่ะ เพราะโยมจะเอาเงินไปซื้อวัวที่กำลังจะโดนฆ่าแบบเรียงคิวจริง ๆ จะโดนเชือดจริง ๆ เอาไปถวายอย่าเพิ่งจำวัดนะเจ้าค่ะ" ก็รับปากโยมไปว่า ได้โยม... วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใสมาก ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกหนัก พอโยมผู้หญิงคนนั้นกำลังนำวัวตัวนั้นลงจากรถเท่านั้น ฝนก็ตกเทลงมายังกับคลื่นสึนามิถล่มยังไงยังงั้น ได้แต่ปลอบใจโยมว่า โยม...คนมีบุญทำอะไรฝนก็ตก ส่วนยาจกทำอะไรแดดออกนะ ส่วนโยมก็ได้แต่ยิ้ม และได้ถามโยมไปว่า "คุณโยมได้ทำบุญไถ่ชีวิตวัวจากโรงฆ่ามีจุดมุ่งหมายอะไรหละ" โยมก็กึ่งตอบกึ่งถามว่า "โยมจะทำบุญไถ่ชีวิตวัวตัวนี้ให้กับคุณแม่ที่กำลังป่วยหนัก ตอนนี้กำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU ที่โรงพยาบาลสุราษฏร์ ฯ อุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่กำลังเป็น ๆ ได้ไหมคะ หลวงพ่อ คุณหมอบอกว่า ถ้าไม่ตายวันนี้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว (แก่พูดไปด้วยสะอื้นไปด้วย) นี่น้องสาวของโยมกำลังดูแลแม่อยู่อย่างใกล้ชิดอยากจะทำบุญใหญ่ให้แม่เป็น ครั้งสุดท้าย ..ช่วยโยมทำพิธีหน่อย " จากนั้น ก็สั่งให้จุดธูปเทียน แล้วรับศีล เสร็จแล้วก็ให้ว่า

นะโม..๓ จบ และให้ว่าภาษาบาลีตาม (ภาษาบาลีท่านเจ้าคุณอาจารย์ พระเทพวรคุณ (สมาน สุเมโธ ป.ธ. ๙) ท่านได้เรียบเรียงเอาไว้) เป็นต้นว่า ปณิธานโต ปฏฺฐาย ตถาคตสฺส ทสปารมิโย

ทส อุปปารมิโย..........อิมินา ชีวิตทานานิสํเสน, อหํ สุขิโต โหมิ,อเวโร โหมิ.......ยถา จ มยฺหํ ตเถว เนสํ,ชีวิตํ ปิยํ,อิมินา ชีวิตทานานิสํเสน, โสตฺถิ เม โหตุ สพฺพทา ฯ.....อโห ทานํ เม ปรมทานํ ชีวิตทานํ ,.....สพฺเพ เต อนฺตรายา,... เป็นต้น (บทอธิษฐานการให้ชีวิตเป็นทานผู้เขียนได้รวบรวมเอาไว้ในท้ายหนังสือเล่มนี้ แล้ว) หลังจากนั้นก็ให้พร ให้พรยังไม่ทันจะเสร็จดี ทันใดนั้นผู้เขียนก็ต้องสะดุ้งสุดตัว..? จริงเหรอ อย่าโกหกนะ (พูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วย) หายจริง ๆ หรือ อย่าล้อเล่นนะเจ้าค่ะ พูดอยู่อย่างนั้นแหละ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เพิ่งสังเกตได้ว่า เริ่มตั้งแต่รับศีล ว่ากล่าวคำถวายปล่อยชีวิตวัว จนรับพรเสร็จ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนฉลาดพอควร เปิดโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลาเอาโทรศัพท์เป็นไมค์ พูดให้คนทางบ้านได้ยินด้วย อานิสงส์มีจริง ปาฏิหาริย์มีจริง ยังไม่ทันข้ามวันข้ามเดือนข้ามปี แค่ข้ามนาทีเท่านั้น อาการป่วยหนักของแม่เริ่มดีขึ้น หมอบอกว่าคลื่นหัวใจเต้นเร็วขึ้น ๆ ทุกวันนี้คุณแม่ของโยมผู้หญิงคนนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่เป็นร่มโพธิ์ใบหนา เป็นร่มไทรใบใหญ่ให้ลูกหลานได้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป นี้คืออานิสงส์ของความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณอีกตัวอย่างหนึ่ง


เรื่องที่ 3

สุภาพสตรีท่านหนึ่งทำธุรกิจเปิดบริษัทรับทำประตูเหล็กดัด

งา นอลูมิเนียม และงานสแตนเลสระดับเกรดเอทุกประเภท รับงานทั่วประเทศ เมื่อสมัยเปิดบริษัทรับงานมาใหม่ ๆ รับงานจากลูกค้ามาก็โดนโกงบ้าง โดนหลอกบ้าง ธุรกิจแทบล้ม เกือบจะเอาตัวไม่รอด วันหนึ่งเกิดกลุ้มใจอย่างหนัก อยากจะฆ่าตัวเองตาย จะได้หนีความยุ่งยากต่าง ๆ เสียที หนี้สินก็เพิ่มมากขึ้น บริวารก็ลาออกจากงานแทบทุกวัน หาทางออกไม่ได้ มองไปทางไหนมันมืดมนหมด เหมือนคนอยู่ในถ้ำตอนกลางคืนที่ไม่มีแสงไฟ คงจะเหมือนคำที่ท่านผู้รู้ได้กล่าวเอาไว้ว่า คนเราเวลาดวงตก(บุญเหลือน้อย) จะทำอะไรก็ไม่ดี จะเข้าหุ้น ๆ ก็ตก จะเลี้ยงหมู ๆก็ไม่อ้วน ค้าขายก็ถูกโกง มีลูกก็ไม่ได้ดั่งตัว มีเพื่อนก็เห็นแก่ตัว มีผัวก็ไม่ได้ดั่งใจ มีญาติผู้ใหญ่ก็พึ่งไม่ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งเขาก็ว่า ยามบุญพาวาสนาไม่ส่ง ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย มีญาติผู้ใหญ่ก็พึ่งพิงพึ่งพาไม่ได้ ก็ไม่ทราบจะไประบายความเครียดความอัดอั้นตันใจที่ไหน เรียกว่าเจอความจนหลายรูปแบบมาทับถม ทั้งจนมุม จนตรอก จนแต้ม จนปัญญา รวมอยู่ในตัวหมด เลยตัดสินใจฆ่าตัวเองตาย ยังไงก่อนที่จะตายก็ ขอไปวัดใกล้บ้านไปทำบุญถวายสังฆทานเป็นครั้งสุดท้ายดีกว่า เสร็จแล้วก็ไปนั่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในวัดต้นหนึ่ง ในขณะที่นั่งเพลิน ๆ อยู่ทันใดนั้นเองตาก็เลือบไปเห็น สุนัขขี้เรื้อนแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งกำลังนอนให้ลูกเล็ก ๆ ๔-๕ ตัว ดื่มน้ำนมอยู่อย่างมีความสุขใจ ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า สุนัขแม่ลูกอ่อนผอม ๆ ตัวนี้ มันเป็นสัตว์แท้ ๆ มันยังไม่คิดที่จะฆ่าตัวตายเลย ยิ่งเพ่งดูมันยิ่งน่าสงสาร น่าเวทนา ขาด้านหน้าข้างหนึ่งก็กำลังเกาขี้เรื้อนที่สร้างความรำคาญให้มัน ประเดี๋ยวมันก็เอาลิ้นเลียบนตัวลูกน้อยด้วยความรักความทนุถนอมโดยที่มันยัง ไม่รู้เลยว่า หลังจากที่ให้นมลูกแล้วจะไปหาเศษอาหารที่ไหนดี ค่ำคืนนี้จะนอนที่ตรงไหน ? ลูกทุกตัวจะได้กินอิ่มหรือเปล่า...แล้วเราหล่ะเราเป็นมนุษย์ซึ่งแปลว่าผู้มี จิตใจสูงมีจิตประเสริฐ ถ้าจะมาคิดฆ่าตัวตายเราจะไม่อายหมาหรือ เธอคิดอย่างนี้ พอมาวันหลังเงินทุกบาททุกสตางค์ที่มีอยู่ เธอก็เอาไปซื้ออาหารสุนัขให้หมดแล้วเอาไปเลี้ยงสุนัขที่วัดจนหมดทุกตัว อีกสองวันต่อมาลูกค้าที่เคยโกงเงินเธอไปเกือบสามแสนบาท เกิดสำนึกผิดโทรมาหาบอกว่าจะเอาเงินมาคืนวันพรุ่งนี้ทั้งหมด เธอพอวางสายโทรศัพท์เสร็จดีใจจนน้ำตาไหลเองโดยอัตโนมัติ เรียกว่า น้ำตาเย็น ไม่ใช่น้ำตาร้อน อยู่ต่อมาไม่นานลูกค้าที่เคยโกงเงินไปพอโทรไปทวงก็บอกว่าจะทยอยเอามาคืนให้ เขาเหล่านั้นบอกว่าช่วงเวลาที่โกงเงินเธอไป ทำอะไรก็ไม่เจริญรู้สึกร้อนตัวร้อนใจยังไงบอกไม่ถูก ขอคืนเงินให้ทั้งหมด ทุกวันนี้ สุภาพสตรีท่านนี้ประกอบธุรกิจด้านรับทำประตูหน้าต่างทุกชนิด การงานก็เจริญก้าวหน้า ไม่มีลูกค้าคนใดคดโกงอีกเลย แต่สิ่งที่สุภาพสตรีท่านนี้ยังคงทำอยู่เป็นกิจวัตรประจำวันก็คือนำอาหาร สำเร็จรูปไปเลี้ยงสุนัขทุกตัวที่วัดด้วยความรักและสงสาร คงเป็นเพราะอานิสงส์ที่ได้บำรุงเลี้ยงสุนัขด้วยใจบริสุทธิ์ด้วยใจเป็นธรรม ด้วยความกตัญญูรู้คุณว่าเธอรอดชีวิตมาได้จนถึงปัจจุบันนี้เพราะมีแม่สุนัข ขี้เรื้อนตัวหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจ.......ไม่เหมือนกับคนบางคนชอบเลี้ยงสุนัข แต่ไม่รับผิดชอบ เมื่อตอนสุนัขเป็นตัวเล็ก ๆก็รักมันดีอยู่หรอก แต่พอมันแก่ตัวลงนี้ซิ ? อนิจจา ๆ สุนัขโปรดก็สุนัขโปรดเถอะ ไม่สนใจแล้ว แม้แต่สามีแม่ยังไปปล่อยวัดมาแล้ว อนิจจา ๆ ชอบเอาสุนัขไปทิ้งให้วัด พระเณรในวัดก็ต้องรับผิดชอบเดินเก็บขี้หมาทุกวัน เก็บขี้หมาจรจัดไม่เท่าไร แต่เก็บขี้หมาที่คนเอามาปล่อยนี่สิ มันน่าน้อยใจ น่าเจ็บใจ (สามาเณรน้อยในวัดบ่นให้ฟัง) ขอโทษที่เถอะ ? ขี้หมากับขี้คนมันต่างกันตรงไหน บางกองเหมือนขี้คนดี ๆนี้เอง ลองคิดดูให้ดี ๆ เวลาพระเณรไปเก็บขี้หมา เหมือนพระต้องไปเก็บขี้ของคนซึ่งเป็นเจ้าของหมานั่นเอง บาปแค่ไหน ? มีลูกก็เป็นคนเหม็น มีนิสัยเหม็นเน่า มีสามีภรรยา ก็จะมีนิสัยเหม็นเน่า คบกับใครก็มีนิสัยเหม็นเน่า ไม่มีความจริงใจ ทำตัวเป็นรถไฟ คือมีสองหัว ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังมะไฟ ต่อหน้าแตงไทยลับหลังแตงโม ต่อหน้าส้มโอ หลับหลังส้มตำ.. เวรกรรมขนาดไหน ? นรกขนาดไหนลองคิดดูให้ดี ท่านที่เป็นปัญญาชนคนเดินดินทั้งหลาย ปกติผู้เขียนเป็นคนชอบสัตว์ทุกประเภทไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก แต่ที่ไม่ชอบก็คือคนที่ชอบเอาสุนัขและแมวมาปล่อยวัด จึงได้เขียนเป็นคติสอนใจว่า

ด้วยวัดนี้ไม่ต้องการหมาและแมว โยมไม่ต้องรีบแจวเอามาถวาย

พระต้องการดินกับหญ้าหินและทราย เงินก็ดีสิ่งของก็ได้พระต้องการ....

*** กรรมที่ให้ผลปรากฏในปัจจุบัน ใครก็ตามกระทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมส่งผลให้แน่นอน ส่วนเรื่องจะช้าหรือเร็วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องกรรมนี้ตรงกับวิทยาศาสตร์ คือเมื่อมี Action คือการกระทำ ก็ย่อมมีการตอบสนองคือ Reaction เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่นายพันโทพระยาพินิจสารา(ทับทิม บุญยรัตน์พันธ์)ได้รวบรวมและเรียบเรียงไว้เมื่อเกือบ ๕๐ ปีมาแล้ว เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ผู้เขียนจะขอนำมาเขียนให้ท่านอ่านเพียง ๙ เรื่องเท่านั้น ดังต่อไปนี้คือ.-

*** ญวนคนหนึ่ง ชื่อนายอุ่น อายุ ๕๐ ปีเศษ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลคู้บอน อำเภอเมือง จังหวัดมีนบุรี (ปัจจุบันเป็นเขตคลองสามวา กรุงเทพ ฯ) มีอาชีพทำนา แต่พอถึงเดือน ๓,๔,๕,๘ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ข้าวในนาสุก มีนกกระจาบมา เขาก็ใช้ข่ายจับนกกระจาบได้เป็นฝูง ๆ เมื่อได้นกกระจาบมาแล้ว เขาก็ทุบนกกระจาบให้ตาย เอามาทำอาหารแกล้มกินกับเหล้าบ้าง ขายบ้าง ทำอยู่อย่างนี้เป็นประจำทุกปี ต่อมาเขาไม่สบาย มีอาการชักหลังงอคล้ายคนเตี้ยค่อม และมือเท้าเป็นเหน็บชาเดินไม่ได้ ได้รับความทุกขเวทนามาก จนได้สลบแน่นิ่งไปครั้งหนึ่ง ลูกเมีย ญาติพี่น้องนึกว่าเขาตายแล้ว แต่แล้วเขาก็ไม่ตาย ต้องทนทุกข์อยู่อย่างนี้มาจนกระทั้งอายุ ๗๐ ปีเศษ คือใน พ.ศ. ๒๔๘๕ เขาจึงมีอาการหนักได้ดิ้นรนกระวนกระวายและร้องเจี๊ยบจ๊าบ ๆ เหมือนนกกระจาบ

 

*** ชายคนหนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลโคกขาม จังหวัดสมุทรสาคร เป็นคนแปลกที่ชอบฆ่าสุนัข คือเห็นสุนัขไม่ได้เป็นต้องฆ่าให้ตาย จนสุนัขเห็นเขาเป็นต้องหนีเหมือนมันรู้ว่า ถ้ามันอยู่เขาต้องจับมันฆ่าแน่ ๆ ครั้นพอเขาป่วยหนักใกล้ตาย กรรมที่เขาทำกับสุนัขก็ตามมา สนอง กล่าวคือเขาร้องเสียงเหมือนสุนัขร้องตอนถูกตี

*** ผู้คุมคนหนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัดพนมสารคาม (ปัจจุบันอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา) ได้ฆ่าวัวกินโดยใช้มีดเชือดก้านคอ แต่วัวก็ไม่ตาย เขาจึงจับวัวให้แหงนหน้าแล้วใช้ไม้ตีที่หัวจนวัวตาย ต่อมาไม่ช้าอยู่ ๆ เขาก็ใช้มีดแทงคอตนเอง เช่นเดียวกันที่เขาทำกับวัว แต่ก็ไม่ตาย รักษาเท่าใดก็ไม่หาย ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ในที่สุดแผลก็เป็นบาดทะยัก เขาถึงได้ตาย


*** ชายคนหนึ่งชื่อนายน้อย อยู่บ้านน้ำคม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก มีอาชีพเป็นนายพรานป่า หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ป่าขาย ต่อมาเขาได้ป่วยอาการหนัก อยากกินแต่น้ำตามหนอง ไม่ยอมกินน้ำบ้าน ลูกเมียต้องออกไปหา ไปตักน้ำมาให้กิน เมื่อเขากินน้ำตามป่าตามหนองแล้วก็มีอาการประปรี้กระเปร่ากระเตื้องขึ้น เหมือนกับว่าได้กินยาถูกกับโรค ครั้นเมื่อจะตาย ได้สั่งเมียไว้ว่า ขอให้เอาปืนกระบอกที่ใช้ยิงสัตว์ใส่ในโลงเผาไปด้วย เมียก็ทำตามที่เขาสั่ง ครั้นเมื่อถึงเวลาเผาศพ พอไฟที่เผาติดฟืนดีแล้ว ก็มีเสียงประหลาดคล้ายเสียงปืน

ดังอยู่บนอากาศตรงกับเปลวไฟที่เผาศพ ซึ่งนับว่าประหลาดมาก

*** ชายคนหนึ่งบ้านอยู่นครราชสีมา มีอาชีพรับราชการวันหนึ่งชายคนนั้นกับลูกหลาน ๒-๓ คน พากันไปเที่ยวไป พบค่างตัวหนึ่ง ชายคนนั้นจึงเอาปืนยิงค่าง กระสุนปืนไปถูกหัว ทะลุออกทางลูกตาข้างขวา ตกลงมาตาย ขณะที่เขายิงค่างตายนั้น ภรรยาของเขาตั้งครรภ์ได้ประมาณ ๔ เดือน ครั้นเมื่อครบกำหนดคลอด ได้บุตรเป็นชาย นับตั้งแต่คลอดออกมา เด็กก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ พออายุครบ ๗ วัน ตาเด็กข้างขวาก็เกิดบวม ร้องอยู่ตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด จนกระทั่งขาดใจตายไป

*** หญิงคนหนึ่ง บ้านอยู่อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา หญิงคนนี้ท้องได้ ๔ เดือน วันหนึ่งหญิงคนนี้ได้ช่วยสามีและญาติฟาดข้าวในลาน (นวดข้าว) และเมื่อฟาดแล้ว ก็แยกข้าวมากองไว้ต่างหากปรากฏว่ามีไก่หลายตัวที่เลี้ยงไว้ มาจิกกินข้าวเปลือกที่กองไว้ หญิงคนนี้ได้ไล่ไก่อยู่หลายครั้ง แต่ไก่ก็ยังมาจิกกินอีก หญิงคนนี้โกรธได้ใช้สวิงขนาดใหญ่เหวี่ยงจับไก่ได้ตัวหนึ่ง จึงมัดขาไก่ทั้ง ๒ ข้าง ไก่ตัวนั้นอยู่ได้ไม่กี่วันก็ตาย ครั้นเมื่อหญิงคนนั้นถึงกำหนดคลอดลูก ได้คลอดลูกออกมาเป็นหญิงมีรูปร่างหน้าตาดี แต่ที่นิ้วเท้าทั้ง ๒ ขาดหายไป มีเพียงปุ่ม ๆ ยื่นออกมาเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกเรื่องหนึ่ง.....

*** พ่อแม่คู่หนึ่ง บ้านอยู่ที่สุพรรณบุรี มีลูกชายคนหนึ่งพออายุครบบวช พ่อแม่และญาติพี่น้องจึงจัดบวชให้ พอถึงวันสุกดิบ ได้ฆ่าวัวแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง ทำเป็นอาหารเลี้ยงในงาน พอวันรุ่งขึ้นแห่นาคไปวัด ลูกวัวก็ได้เดินตามไปด้วย คนจะไล่กลับอย่างไรก็ไม่กลับ พอนาคเข้าในโบสถ์ลูกวัวนั้นก็ตามเข้าไปในโบสถ์ด้วยถึงกับต้องต้อนเอาวัวออก มาจากโบสถ์เป็นโกลาหล พอหลังจากบวชได้ ๒ เดือน พ่อแม่และญาติพี่น้องที่อยู่ในบ้านนี้ ก็เจ็บไข้ได้ป่วยถึงแก่ความตายกันหมดทั้งบ้าน อนิจจา ?


*** ชายคนหนึ่งบ้านอยู่ระหว่างวัดจักรวรรดิ์กับวัดบพิตรพิมุข ได้ตะพาบน้ำขนาดใหญ่ หลังกว้างถึงศอกเศษมาตัวหนึ่ง เขาก็เชือดขาและเชิงใกล้ขา เอามาแกงเลี้ยงเพื่อนข้างหนึ่ง ตะพาบถูกทรมานขนาดนี้ยังไม่ตาย ต่อมาอีก ๒-๓ วัน เขาก็ฆ่าตะพาบตัวนั้นเอามากิน ปีนั้นเขาก็เป็นอัมพาตที่มือทั้งสองข้าง และเท้าข้างหนึ่งก็เดินไม่ได้ ไม่มีความรู้สึกเลย แต่เท้าข้างหนึ่งกระดิกได้ ก็ได้แต่เสือกไปมา เขาเป็นอยู่ประมาณ ๑๐ วันก็ถึงแก่ความตาย


*** ชายคนหนึ่ง บ้านอยู่ตำบลคลอง ซอยที่๗ ตำบลหนองเสือ จังหวัดนนทบุรี (ปัจจุบันเป็นอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี) มีอาชีพทำนา วันหนึ่งเขาเกิดบันดาลโทสะ ได้เอาไม้กระบองตีควายเข้าที่หน้า เผอิญไปถูกที่ตา ทำให้ตาบอดมองไม่เห็นทั้ง ๒ ข้าง ต่อมาตาเขาเป็นต้อทั้ง ๒ ข้าง เหมือนตาควายที่เขาตี นี้ก็เป็นกรรรมสนองกรรมทันตาเห็นอีกรายหนึ่งในชาติปัจจุบัน


*** ชายคนหนึ่งชื่อนายคง อยู่บ้านศีรษะจรเข้ จังหวัดสมุทรปราการ มีอาชีพทำนาและรับจ้างตอนวัวและควาย พออายุ ๘๐ ปี เขาก็ป่วยเป็นโรคประหลาด คืออัณฑะบวมโตและเป็นแผลเน่าเปื่อย อาการหนักเข้าทุกที รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ในที่สุดลูกอัณฑะได้หลุดออกมา ทนทุกขเวทนา อยู่ได้ปีเศษ เขาจึงถึงแก่ความตาย

*** มีนิทานในธรรมบทหลายเรื่อง ในสมัยที่ผู้เขียนเป็นสามเณรเรียนบาลีอยู่สำนักเรียนวัดป่าแสงอรุณ จังหวัดขอนแก่น จำได้ขึ้นใจหลายเรื่อง มีเรื่องหนึ่งโดนใจมากคือเรื่องพระภิกษุบำรุงเลี้ยงมารดาบิดา ในสมัยพุทธกาลภิกษุรูปหนึ่งบิณฑบาตได้อาหารมาก็เอาให้ผู้บังเกิดเกล้ากิน ก่อน ตนเองได้ฉันบ้างไม่ได้ฉันบ้าง พระภิกษุเหล่าอื่นทราบเรื่อง พากันติเตียนท่านว่า เธอทำไม่ถูกไม่เหมาะที่นำอาหารบิณฑบาตไปให้คฤหัสถ์กินก่อน

พระ พุทธเจ้าทรงทราบกลับสรรเสริญภิกษุรูปนั้นว่าทำถูกแล้ว แม้จะบวชเป็นพระแล้วก็สามารถเลี้ยงบิดามารดาได้ และอาหารที่บิณฑบาตมาได้ ตถาคตอนุญาตให้เอาให้บิดามารดากินก่อนได้ คนรู้คุณคนและตอบแทนคุณคนอยู่ไหนก็ได้รับการสรรเสริญและประสบความเจริญ ตรงกันข้ามกับคนอกตัญญูและคนเนรคุณ ย่อมจะมีแต่ทางหายนะ ดังเรื่องดังต่อไปนี้


บุรุษคนหนึ่งเรียนมนต์เสกมะม่วงมาจากคนจัณฑาลคนหนึ่ง มนต์นี้สามารถเสกให้ต้นมะม่วงที่เพาะลงดินใหม่ ๆ เติบโต และมีดอกมีผลสุกงอมกินได้ในชั่วไม่กี่วินาที (ถ้าเป็นปัจจุบันนี้รวยไม่รู้เรื่อง)อาจารย์ที่เป็นคนจัณฑาล บอกเขาว่า ถ้ามีใครถามว่า ท่านเรียนมนต์มาจากใคร จงบอกเขาไปตามความเป็นจริง หาไม่มนต์จะคลายความขลัง เขาก็รับปากรับคำอาจารย์เป็นอย่างดี วันหนึ่งกิตติศัพท์ความเก่งกาจของเขาก็ล่วงรู้ไปถึงพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ รับสั่งให้ตามเขาเข้าไปเฝ้า แต่งตั้งให้เขาดูแลสวนมะม่วง ในเวลาใดที่พระราชามีพระประสงค์จะเสวยมะม่วง ก็รับสั่งให้เขาเสกถวาย เขาไปยืนใกล้ต้นมะม่วงร่ายมนต์ พักเดียวก็ได้มะม่วงสุกอร่ามหอมหวานน่ากิน เป็นน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

วัน หนึ่งพระเจ้าแผ่นดินได้ตรัสถามเขาว่า เขาได้ไปเรียนมนต์นี้มาจากไหนกับใคร ครั้นจะกราบทูลว่าเรียนมาจากคนจัณฑาล ก็รู้สึกละอาย(กลัวคนอื่นรู้กำพืดตนเอง เหมือนคนใหญ่คนโตในปัจจุบันนี้พอได้ดีแล้วได้เป็นใหญ่แล้วลืมกำพืดของตน เอง) เขาจึงได้กราบทูลพระราชาว่า

"ข้าพระพุทธเจ้าเรียนมาจากอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักกสิลา พ่ะย่ะคะ" โกหกทั้งเพ

ใน ทันใดนั้นมนต์ที่เขาจำได้คล่องปากขึ้นใจ ก็มีอันตรธานหายหมดไปสิ้น นึกเท่าใดก็นึกไม่ออก วันต่อมาเมื่อพระราชาให้เขาเสกมะม่วงให้เสวยอีก เขาก็ทำไม่ได้ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงทราบความจริงภายหลัง จึงรับสั่งให้ราชบุรุษลงอาญาแก่เขาอย่างหนัก และให้เนรเทศออกจากพระนคร พร้อมรับสั่งว่า "คนอกตัญญูเลี้ยงไว้ได้" ท่านทั้งหลาย เลี้ยงอสรพิษไว้ในบ้าน ยังไม่อันตรายเท่าเลี้ยงดูคนไม่รู้คุณคน โบราณท่านว่าเอาไว้อย่างนั้นก็น่าจะเป็นความจริงในยุคปัจจุบันนี้ เราท่านทั้งหลายก็ทราบดี เห็นได้ตามสื่อสารมวลชนต่าง ๆ ไม่เว้นในแต่ละวัน สุนทรภู่ รัตนกวีเอกของชาติและของโลก ได้กล่าวไว้ว่า

 

ทรลักษณ์อักกตัญญุตาเขา เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน

ให้ทุกข์ร้อนงอนหง่อทรพล พระเวทย์มนต์เสื่อมคลายทำลายยศ.
และนักปราชญ์อีกท่านหนึ่งไว้ว่า

ขึ้นชื่อว่าอกตัญญูคืองูพิษ มักแผลงฤทธิ์ทำร้ายเมื่อภายหลัง

เลี้ยงไม่เชื่องเรื่องรักไม่พักฟัง ใครจะยั้งก็ไม่อยู่เรื่องรู้คุณ

ถึงเปรอปรนขนสมบัติพัสถาน เป็นธรรมทานเงินทองมากองขุน

ทั้งแผ่นดินสิ้นแผ่นฟ้าด้วยการุณ ชาติสกุลแล้วไม่มีภักดีใคร....

 

***คนที่ชอบนินทาชาวบ้าน อยู่ที่ไหนก็เสื่อมที่นั่น***

 

ขอขอบคุณเจ้าของผลงานนี้..

mongkon

 

คำสำคัญ (Tags): #ผลของกรรม
หมายเลขบันทึก: 248693เขียนเมื่อ 16 มีนาคม 2009 01:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 05:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท