ตั้งแต่กระแสโอเพนซอร์สเริ่มเข้ามาสู่ในเมืองไทย ทำให้เกิดกลุ่มใช้งานซอฟท์แวร์โอเพนซอร์สหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ และรัฐบาลก็ได้ให้การสนับสนุนอย่างจริงจังอยู่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ และเงียบหายไป และกลับมาสนับสนุนต่อเป็นช่วง ๆ ไป
เมื่อกระแสการใช้งานซอฟท์แวร์โอเพนซอร์สเกิดขึ้น แน่นอน ก็ส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีซอฟท์แวร์ด้านระบบปฏิบัติการวินโดว์เข้าอย่างจัง
ไมโครซอฟท์ก็ต้องออกโปรโมชั่นใหม่ ๆ เพื่อดึงกระแสไม่ให้คนไทยหนีไปใช้โอเพนซอร์ส เราคงยังจำำกันได้ว่า ไมโครซอฟท์ได้ลดซอฟท์แวร์ราคาจากหลักหมื่นเหลือแค่ 1,400 บาท ให้กับคอมพิวเตอร์เอื้ออาทรมาแล้ว
นอกจากนี้ คนไทยยังเคยชินกับการใช้ซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ และไมโครซอท์ฟออฟฟิศ บางคนไม่เคยทราบว่ายังมีระบบปฏิบัติการหรือซอฟท์แวร์ประยุกต์อื่น ที่ทำงานได้ดีและไม่แพ้ฝั่งไมโครซอฟท์ เคยมีเพื่อร่วมงานได้รับมอบคอมพิวเตอร์ที่มีระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ แต่ก็ต้องฟอร์แมตลีนุกซ์ทิ้ง แล้วหันมาใช้วินโดวส์แทน
เหตุผลที่ผมขึ้นหัวข้อว่า “ Microsoft เป็นนักบุญหรือปีศาจต่อเด็กไทย” ก็เนื่องจากไมโครซอฟท์ได้ออกโปรโมชั่นเอาใจกลุ่มใช้คอมพิวเตอร์ในโรงเรียนที่มีผู้ใช้ 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มครูผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ และนักเรียนผู้ที่ถูกผลิตมาจากแม่พิมพ์ โปรโมชั่นที่กล่าวถึงคือ ไมโครซอฟท์ใจบุญถึงกับมีโครงการที่เรียกว่า Partners in Learning (หุ้นส่วนในการเรียนรู้) ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลักที่สำคัญ คือ
1. Fresh Stat for Donated
Computers
เป็นการมอบซอฟต์แวร์ Windows98 SE หรือ Windows2000 ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ของไมโครซอฟท์ให้แก่โรงเรียนทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศ
เพื่อให้ทางโรงเรียนนำไปติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนได้รับบริจาค
โดยทางบริษัทฯ ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
2. School
Agreement
ภายใต้ข้อตกลงของโครงการ
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ภายในโรงเรียนทั้งเครื่องใหม่และเครื่องที่มีอยู่ในปัจจุบันจะได้รับการติดตั้งระบบปฏิบัติการ
Microsoft Window XP Professional
โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
และจะได้สิทธิในการใช้โปรแกรม Microsoft Office XP Professional
ในราคาพิเศษประมาณ
100 บาทต่อเครื่อง ต่อปี
3. Learning
Grant
ไมโครซอฟท์สนับสนุนการอบรมครู และกิจกรรมต่างๆ
สำหรับครูและนักเรียนทั่วประเทศ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ให้มีการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการสอนและการเรียนรู้ของนักเรียนภายใต้การนำของครู
โดยไมโครซอฟท์ ได้จัดการอบรม
และกิจกรรมสำหรับครูและนักเรียน
หากเรามองในแง่ดี จะเห็นว่าไมโครซอฟท์สนับสนุนการศึกษาของไทยเป็นอย่างมาก ด้วยการลดราคารวม Microsoft Window XP Professional + Microsoft Office XP Professional = 100 / เครื่อง / ปี
โดยเหตุผลส่วนตัวด้านราคาผมก็คิดว่าราคา 100 / เครื่อง / ปี ยังแพงไป และเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ่ายเลยหากเราใช้ซอฟท์แวร์โอเพนซอร์ส เืพื่อใ้ห้เห็นตัวเลขที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมได้ไปสำรวจสถิติจำนวนสถาบันการศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ข้อมูลปี 45) รวมทั้งหมดเท่ากับ 40,814 แห่ง หากคิดแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ของ ร.ร. ทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการนี้ และสมมติว่าเฉลี่ยแต่ละโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ประมาณ 100 เครื่อง ประเทศไทยต้องจ่ายเงินให้ไมโครซอฟท์เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย
= จำนวนโรงเรียน x จำนวนคอมพิวเตอร์ x ราคา
= 20,407 x 100 x 100 = 204,070,000 บาท !!!
แค่ 50 เปอร์เซนต์ของโรงเรียนทั้งประเทศ ประเทศไทยต้องจ่ายเงินให้ต่างประเทศกว่า 200 ล้านบาท ต่อปี เชียวหรือ? โดยที่เราไม่ได้รับอิสระในการใช้ซอฟท์แวร์ได้ตามที่เราต้องการเลย เรา้เป็นได้แค่ผู้ใช้ซอฟท์แวร์เท่านั้นเอง
หากรัฐบาลนำเงินจำนวน 200 ล้านต่อปี มาพัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็นโอเพนซอร์สอย่างจริงจัง เราสามารถยกระดับเยาวชนของเราจากผู้ใช้ธรรมดาไปสู่นักพัฒนาได้ เนื่องจากระบบปฏิบัติที่เป็นโอเพนซอร์สจะเปิดโอกาสให้เราใช้งานและปรับแต่งได้อย่างเสรี นอกจากประเทศไทยประหยัดเงินชาติได้อย่างมหาศาลแล้ว ประเทศก็ไม่ตกเป็นทาสทางเทคโนโลยีอีกด้วย
ผมยังเชื่อมั่นว่า ซอฟท์แวร์ที่ดีกว่าจะเป็นผู้ชนะในที่สุด
ผมดำเนินวิถีแบบเศรษฐกิจพอเพียง จึงเลือกใช้โอเพนซอร์ส
เพราะมันเพียงพอต่อความต้องการใช้งานของผมแล้ว
และนอกจากการเปิดเผยต้นฉบับ(open source code) แล้ว
ยังเปิดเผยเคล็ดลับความรู้ด้วย
ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจถึงแก่นความรู้หลักได้
ครับ
--วิภัทร
ประเทศนี้มีการพัฒนาการด้านการศึกษาทางด้านการใช้เทคโนโลยี หรือทางด้านศึกษาต่างๆ ที่สามารถทำให้เท่าทันเทคโนโลยีสมัยนี้
อยากให้ทุกคนมีความพอเพียงแต่เราก้อต้องเท่าทันเทคโนโลยีด้วยในการจัดการให้เกิดความทันสมันในยุคปัจจุบัน