เส้นทางการปฏิรูปการเรียนรู้ : หัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน


เส้นทางปฏิรูปการเรียนรู้ สำเร็จหรือล้มเหลว

บทนำ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การจัดการศึกษาของไทย ประสบกับปัญหาอย่างมาก และสั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันด้านต่างๆของคนไทยบนเวทีระดับโลก ด้อยกว่าเกือบทุกประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขัน แม้แต่ประเทศที่ตกอยู่ในภาวะสงครามมาอย่างยาวนาน เช่น เวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ ประสิทธิภาพการผลิตและรายได้ประชาชาติฯลฯ  นอกจากปัญหาด้านการศึกษาแล้ว ปัญหาในด้านคุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน ต่างก็เป็นประเด็นปัญหาซึ่งก่อให้เกิดวิกฤติอย่างรุนแรง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาด้านการศึกษา

ประเทศไทยจึงได้มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาของชาติด้วยการปฏิรูปการศึกษา และเริ่มมีแนวทางปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้มีการบรรจุสาระเกี่ยวกับการศึกษาไว้ในรัฐธรรมนูญหลายมาตรา เช่น มาตรา 43 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย มาตรา 81 รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมสร้างเสริมความรู้ และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในศิลปวิทยาต่างๆ เร่งรัดพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาวิชาชีพครู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปและวัฒนธรรมของชาติ อันเป็นที่มาของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ..2542 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษาฉบับแรก มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2542 ส่งผลให้เกิดกระแสที่สร้างความตื่นตัวและความเคลื่อนไหวในการดำเนินงาน ทั้งต่อหน่วยงาน องค์กร และบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวาง

กระทรวงศึกษาธิการ  ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดำเนินการปฏิรูปการศึกษา ได้กำหนดขอบข่ายของการปฏิรูปการศึกษา  เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานทางการศึกษา รวมทั้งเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้บรรลุจุดมุ่งหมายตามที่ต้องการ และยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษาให้สูงขึ้น โดยกำหนดแนวทางการปฏิรูปการศึกษาใน ด้าน คือ การปฏิรูปโรงเรียนและสถานศึกษา  การปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา  การปฏิรูปหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน และการปฏิรูประบบบริหารการศึกษา

ขอบข่ายของการปฏิรูปการศึกษาสอดคล้องตามเจตนารมณ์และเพื่อรองรับการดำเนินงานตามแนวทางกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติและเพื่อเตรียมเยาวชนของชาติให้มีความรู้ความสามารถ ได้มาตรฐานสูง เหมาะสมกับความต้องการของสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ โดยดำเนินการตามแนวคิดและแนวทางกับภารกิจดังนี้

1.    เป้าหมายหลักของการปฏิรูปการศึกษา  คือ การเรียนการสอนมีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล ภายในปี 2550

2.    การปฏิรูปการศึกษาให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และสถานการณ์ในอนาคต  จะต้องเน้นการพัฒนา "คุณภาพการศึกษา" โดยเฉพาะคุณภาพของผู้เรียนเป็นสำคัญ

3.    การพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน จะเกิดขึ้นได้จะต้องเน้นการปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอนที่แท้จริงของครูแต่ละคน  วิธีการเรียนของผู้เรียนและการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในโรงเรียนเป็นหลัก

4.    การปฏิรูปการศึกษา  (โดยเฉพาะในระดับโรงเรียนหรือสถานศึกษา) จะครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องปฎิรูปทั้ง 3 มิติ คือ องค์ประกอบหลัก ยุทธศาสตร์ การดำเนินงานปัจจัยสร้างเสริมการเรียน

5.    องค์ประกอบหลักของการปฏิรูปการศึกษา  คือ การปฏิรูปหลักสูตร การปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอน การปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา และการปฏิรูปการบริหารและการจัดการศึกษา

6.    การดำเนินการปฏิรูปการศึกษาจะเน้นยุทธศาสตร์หลัก 5 ประการคือ
                      6.1  กระจายอำนาจให้สถานศึกษาและหน่วยปฏิบัติมีอิสระและความคล่องตัวในการบริหารงานที่รับผิดชอบ

           6.2  ใช้แผนยุทธศาสตร์เป็นเครื่องมือในการดำเนินงานปฏิรูปการศึกษาทุกระดับ
                            6.3  เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
                     6.4  ให้มีระบบประกันคุณภาพการศึกษา  เพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ
                            6.5 เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง ได้เต็มศักยภาพ
                      7.   ปัจจัยสร้างเสริมการเรียน (ETHOS) ที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้การปฏิรูปการศึกษาเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ได้แก่  ภาวะผู้นำทางการเรียนการสอนแข็ง  มีความคาดหวังในผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง  มีจุดเน้นของการสอน (ของครู) ที่ชัดเจน  บรรยากาศสิ่งแวดล้อมเกื้อกูลต่อการเรียนของเด็ก  มีการติดตามความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ  ประชาชน (ภูมิปัญญาท้องถิ่น) มีส่วนร่วม และมีเวลาที่ใช้ในการเรียนอย่างสม่ำเสมอ

หน่วยงานหลักในการดำเนินการปฏิรูปการศึกษา  ประกอบด้วย คณะกรรมการและสำนักงานปฏิรูปการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย และหน่วยงานที่จัดการศึกษาเฉพาะทางในกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ

 

 

ที่มา : ศูนย์ปฏิบัติการปฏิรูปการศึกษา.  การปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการhttp://www.moe.go.th/main2/edu-reform/edu-reform.htm

 

ทิศทางการปฏิรูปการศึกษา

การปฏิรูปการศึกษาเป็นการปรับทั้งระบบ กระบวนการและเป้าหมายของการเรียนรู้ การคิดของบุคคลและสังคมที่เกี่ยวกับตนเอง สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อนำไปสู่ประโยชน์ต่อชีวิตและสังคมในอนาคต โดยเป้าหมายที่สำคัญที่สุดจะมุ่งเกิดเจตคติต่อตนเอง สังคม เพื่อนร่วมโลกและธรรมชาติ การปฏิรูปการศึกษาจึงเป็นเสมือนการรื้อ ปรับปรุง ยกเครื่องและเปลี่ยนแปลงการศึกษาทั้งระบบ ซึ่งมีการดำเนินงานเป็นขั้นตอน ทำให้ไม่เกิดความรุนแรงหรือกระทบในทางเสียหายน้อยที่สุด โดยมีเป้าประสงค์สำคัญ 5 ประการ คือ (ประเวศ  วะสี, 2542  อ้างใน สนธิรัก เทพเรณู และคณะ, 2548)

1.             เป็นการศึกษาสำหรับคนทั้งมวล (Education for All) อย่างทั่วถึง ยืดหยุ่น หลากหลายเหมาะสมกับทุกกลุ่มในสังคม

2.             ให้ทุกส่วนในสังคมมีความร่วมมือกันในการจัดการศึกษา (All for Education)

3.             ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ให้มีกระบวนการที่ง่าย สนุก และพัฒนาคนให้เต็มศักยภาพของความเป็นมนุษย์ สามารถแก้ปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การเมืองและสุขภาพไปด้วยกัน

4.             ปฏิรูประบบบริหารและการจัดการศึกษาให้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพในการจัดการและตรวจสอบให้บรรลุเป้าประสงค์ของการศึกษา

จุดมุ่งหมายของการปฏิรูปการศึกษาจะต้องเป็นไปเพื่อเด็ก ครู ผู้บริหาร ชุมชน และคนไทยทุกคน โดยเฉพาะเด็กไทยทุกคนต้องได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อสร้างอนาคตของชาติ สร้างคุณภาพประชากรอันจะนำไปสู่คุณภาพของชีวิตที่ดี การปฏิรูปการศึกษาควรมีเป้าหมายที่จะสร้างคนให้มีคุณภาพ กล่าวคือ มีความรู้ มีจิตสำนึก มีความดีในตัวทุกคน สามารถประกอบอาชีพอิสระ ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะทำงานเพื่อสังคมและประเทศชาติได้ ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาจะต้องเน้นการเรียนรู้ทั้งที่บ้าน โรงเรียนและสิ่งต่างๆ รอบตัว ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงกันทั้งหมด

สำนักงานปฏิรูปการศึกษา ได้กำหนดกรอบแนวทางในการปฏิรูปการศึกษา ไว้คือ

1.             การจัดระบบโครงสร้าง องค์กรและการแบ่งส่วนงาน มีการเน้นการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ในระบบราชการระดับกระทรวง เขตพื้นที่การศึกษา องค์กรอิสระที่ปฏิบัติงานเฉพาะดาน ภายใต้การกำกับดู แลของรัฐมนตรี รวมทั้งมีการจัดระบบการนิเทศ ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการศึกษา

2.             จัดระบบครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา เน้นดำเนินการในระบบการผลิต พัฒนา ส่งเสริม และการควบคุมวิชาชีพ

3.             จัดระบบทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา พิจารณาดำเงินการศึกษาความต้องการทรัพยากรต่อปีและระยะ 5 ปี ระบบวิธีการจัดงบประมาณเพื่อการศึกษา ระบบัญชี การตรวจสอบ การบริหารจัดการทรัพย์สินสถานศึกษา การจัดเงินอุดหนุนแก่สถานศึกษา และมาตรการการลงทุนเพื่อการศึกษาแบบใหม่ๆ

4.             จัดระบบการศึกษาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยเรื่องการปรับเปลี่ยนสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา อาชีวศึกษา การจัดการศึกษาเอกชน บทบาทของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การจัดสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา

 

หัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษา

สิปปนนท์ เกตุทัต (2545 : 18 -19) กล่าวว่า หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 มีเพียง 3 ประการ คือ

1.             บุคคลทุกคนมีสิทธิ์และโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพเสมอกันตลอดชีวิต และในช่วงการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

2.             ปฏิรูปรูปแบบและกระบวนการเรียนรู้ โดยถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด ให้รู้วิธีการเรียนรู้

3.             ระดมและกระจายทรัพยากร จัดการศึกษาให้กว้างขวาง ทั่วถึง และเป็นธรรมให้ประชาชนมีส่วนร่วม

           เกษม  วัฒนชัย (2545: 18-20) กล่าวว่า “การเรียนรู้” คือหัวใจของการปฏิรูปการศึกษาไทยในครั้งนี้ เป็นกระบวนการการปลูกฝัง ถ่ายทอด ฝึกอบรมสิ่งต่อไปนี้ คือ ความรู้ เจตคติ ความเข้าใจ ความเชื่อศรัทธา ระบบคุณค่า ระบบคุณธรรม การควบคุมและดูแลตนเอง ทักษะและการทำงานให้แก่ผู้เรียนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้  ดังนั้น หลักการปฏิรูปการเรียนรู้จึงยึดหลักว่า ผู้เรียนมีความสำคัญสูงสุด สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง มุ่งเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน มีทักษะในการแสวงหาความรู้ และยึดหลักการศึกษาตลอดชีวิต มุ่งสร้างแหล่งความรู้เพื่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง (ศูนย์ปฏิบัติการปฏิรูปการศึกษา. 2544 : 80)  ทั้งนี้ การดำเนินงาน กระทรวงศึกษาธิการในการปฏิรูปการเรียนรู้ เน้น 3 เรื่อง คือ จะให้เด็กได้เรียนอะไร  ใครสอน และ สอนอย่างไร

   ตามทัศนะของนักการศึกษาทั้งสองท่าน หัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษา คือการปฏิรูปการเรียนรู้  และการปฏิรูปการเรียนรู้ก็คือ การจัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนสำคัญที่สุดอย่างแท้จริงนั่นเอง

 

6 ปีแห่งการปฏิรูปการศึกษา พุทธศักราช 2542 - 2548

หลังจากการปฏิรูปการศึกษาดำเนินงานผ่านไป 6 ปี สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดสัมมนาระดมความคิดเพื่อติดตามและประเมินผลการปฏิรูปการศึกษา : ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยวิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่เขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถาบันการศึกษาทุกระดับ ครู คณาจารย์ ผู้แทนจากหน่วยงานการศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้นำองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน ผู้แทนสถานประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวของทางการศึกษา โดยจัดสัมมนาทั้งสิ้น 5 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนารวมทั้งสิ้น 1,071 คน  ผลการดำเนินงานปฏิรูปการเรียนรู้ที่ผ่านไป 6 ปี พบว่า ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้านหลักสูตร ได้กำหนดเป้าหมายให้หลักสูตรมีความยืดหยุ่น มีสาระสอดคล้องกับวัยและพัฒนาการของผู้เรียน มีการปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับกลุ่มของผู้เรียน แต่ปัญหาที่พบคือ ครูยังไม่มั่นใจในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและไม่คุ้นเคยกับการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา  และสาระในหลักสูตรมากเกินไปและซ้ำซ้อนกัน โรงเรียนบางแห่งจัดวิชาเรียนต่างๆ ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ครูผู้สอนยังให้การบ้านเด็กมากเกินไป

ในด้านกระบวนการเรียนการสอน มีการกำหนดเป้าหมายให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ พบว่า ครูมีการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนอย่างหลากหลาย รวมถึงมีการใช้การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนด้วย แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาคือ ครูส่วนหนึ่งยังไม่สามารถนำรูปแบบไปใช้จัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม ไม่สามารถนำสื่อเทคโนโลยีไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอน และการวิจัยก็ยังเป็นปัญหาของครูที่ยังไม่สามารถใช้การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนได้

ส่วนด้านการวัดและประเมินผล มีการกำหนดให้ครูใช้วิธีการวัดและประเมินผลผู้เรียน  ไม่เฉพาะทางวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ให้วัดรวมไปถึงความประพฤติและพฤติกรรมต่างๆ ของผู้เรียนด้วย พบว่า มีการดำเนินการในเรื่องนี้เช่น จัดทำคู่มือ/แนวทางครบทั้ง 8 กลุ่มสาระ แต่ปัญหาคือ ครูบางส่วนยังไม่เข้าใจและใช้การประเมินผลเพื่อตัดสินผลการเรียน

 

2549 ปีแห่งการปฏิรูปการเรียนการสอน

ในวันที่ 4 สิงหาคม 2548 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้นายจาตุรนต์  ฉายแสง ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยประกาศเจตนารมณ์ในปี 2549 เป็น “ปีแห่งการปฏิรูปการเรียนการสอน” โดยมุ่งหวังให้ครูและผู้เรียนปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียน       การสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์องค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งได้แปลทิศทางและมาตรการในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาเป็นแนวทางปฏิบัติ 12 ประการ และในแนวทางที่ 2 เป็นการปฏิรูปหลักสูตรและการเรียนการสอนการศึกษาขั้นพื้นฐาน 

        กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำหนังสือ “6 เดือนแห่งการขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา รวมพลังปัญญา” ขึ้นในเดือนมกราคม 2549 เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงาน โดยแนวทางการปฏิรูปหลักสูตรและการเรียนการสอนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มีการดำเนินงานดังนี้

-                   การปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 โดยจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักสูตรไปใช้เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถสื่อสารให้เกิดความเข้าใจชัดเจนตรงกัน

-                   การวิจัยและพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ตามแนวการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา (Constructionism) มุ่งเน้นให้ผู้เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ รู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง สามารถใช้เทคโนโลยีแสวงหาความรู้ได้อย่างคล่องแคล่ว

-                   การจัดการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ

-                   โรงเรียนในฝัน...โรงเรียนดีมีคุณภาพ มุ่งสร้างโอกาสให้แก่เด็กไทยทุกคนให้ได้รับการพัฒนาตามศักยภาพของแต่ละคน

-                   โรงเรียนวิถีพุทธ ความงดงามแห่งการศึกษาไทย คือการนำหลักธรรมของพุทธศาสนามาใช้ในการบริหารจัดการเรียนการสอน

-                   โรงเรียนในพื้นที่โครงการดอยตุง

-                   การปรับกระบวนการเรียนการสอนภาษาไทย ภาษาอังกฤษและจีน โดยเน้นให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ อ่าน เขียน เพื่อสื่อสารและการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น

   จากการดำเนินงานในปีแห่งการปฏิรูปการเรียนการสอน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้มอบหมายให้ วิทยากร  เชียงกูล  ศึกษาสภาวะการศึกษาไทย  ปี พ.ศ. 2549/2550 โดยทำการวิจัยเชิงเอกสารและข้อมูลตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.  2548 ถึงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2550 ในเรื่องของการปฏิรูปการเรียนรู้พบว่า  หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ที่ใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดการศึกษาและจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ยังคงมีปัญหาเช่นเดียวกับในยุคแรก นั่นคือ ปัญหาด้านครูไม่มั่นใจวิธีการจัดทำหลักสูตรและนำหลักสูตรไปใช้ ประกอบกับวิทยากรที่ให้ความรู้แก่ครูมีหลายแนวคิดทำให้ครูเกิดความสับสนในการดำเนินการ ครูจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญดำเนินการเพียงร้อยละ 50 – 60 เท่านั้น

การวัดและประเมินผลผู้เรียนและรับเข้าเรียนต่อ พบว่าครูส่วนใหญ่ได้รับการฝึกอบรมเรื่องการประเมินผลแบบใหม่ไปแล้ว แต่ยังมีปัญหาในการนำไปปฏิบัติ  การประเมินคุณลักษณะของผู้เรียนพบว่า ความรู้วิชาการ 5 วิชา ได้แก่ ภาษาไทย สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ พบว่า ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ความสามารถในวิชาภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ของผู้เรียนอยู่ในระดับต่ำ  ภาษาไทย วิทยาศาสตร์อยู่ในระดับปานกลาง และสังคมศึกษาอยู่ในระดับค่อนข้างสูง  ส่วนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ความสามารถของผู้เรียนในวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษอยู่ในระดับต่ำ ส่วนวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับปานกลาง  การประเมินคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ ความรู้วิชาการ ทักษะความคิด ทักษะการแสวงหาความรู้ และทักษะการทำงาน และคุณลักษณะการเป็นพลเมืองที่ดี พบว่า ผู้เรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6 คุณลักษณะเกือบทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง ยกเว้น คุณลักษณะความเป็นพลเมืองดี ที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง สำหรับผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า คุณลักษณะที่พึงประสงค์ด้านความรู้วิชาการอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ด้านทักษะการคิดและการแสวงหาความรู้ และทักษะการทำงานอยู่ในระดับปานกลาง  ส่วนความเป็นพลเมืองดีค่อนข้างสูง  ผลการประเมินงานวิจัยโดยรวม ผู้เรียนมีคุณภาพอยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุงถึงร้อยละ 40 – 60  ระดับพอใช้  20 – 40  และระดับดี ร้อยละ 5 – 20  ส่วนการประเมินของกรมวิชาการ ผู้เรียนที่มีคุณภาพต้องปรับปรุงร้อยละ 10 – 40

หมายเลขบันทึก: 246777เขียนเมื่อ 6 มีนาคม 2009 21:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 22:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ร่วมปฎิวัติการศึกษาเพื่อความเป็นไท

http://gotoknow.org/blog/plays-learns/320506

เห็นด้วยครับในการปฏิรูป ซึ่งถ้าจะให้ดีต้องปลูกฝังแนวคิดตั้งแต่ ครอบครัวซึ่งมีส่วนสำคัญในการปฏิรูปซึ่งจะทำให้ตัวเด็กพร้อมจะเรียนรู้หรือไม่  ตั้งใจศึกษาจริงหรือไม่ ต่อให้มีระบบดีแล้วเด็กไม่สนใจไปเรียนแค่เพื่อเรียนให้จบ เพื่อหางานทำ ก็ผลาญเงินภาษีประชาชนที่ไปสนับสนุนโรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่จบมาจึงเป็นเหมือนปัจจุบันที่กำลังเกิด คือปริญญาตรี ปริญญาโทเกลื่อนเมือง แต่มีซักกี่% ที่มีคุณภาพจริงๆ ออกมาแล้วสามารถช่วยพัฒนาประเทศได้ แก้ปัญหาประเทศอย่างที่เกิดทุกวันนี้กับประเทศไทยได้บ้าง มีจิตสำนึกของคนไทให้ไทย

การปฏิรูปการศึกษาหากจะเกิดความล่าช้าหรือไม่ประสบผลสำเร็จ ตัวแปรที่สำคัญที่สุดคือ ครูไทย ตั้งแต่ระดับสูงสุดลงมา จึงควรปฏิรูปครูก่อน เพราะครูไทยกำลังเป็นมะเร็งร้ายโคม่าในเกือบทุกเรื่อง จะกินยา ผ่าตัด หรือจะหาทางเลือกใหม่ ต้องเริ่มที่ครู

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท