คือคำของคนที่ดลใจ....


"More than one word"

วันนี้เหนื่อยมาก...งง งง อาจจะเป็นด้วยสองส่วนคือ

1. ดึกมากแล้วแต่ยังไม่นอนแม้จะหาวหลายรอบแล้ว

2. อาการของโรคไทรอยด์ ที่เป็นมากขึ้น

3. การขาดการออกกำลังกาย

4. ความกังวล เรื่องงาน (เดี๋ยวเดินทางไปราชการยาว ต้องรีบเคลียร์ให้เสร็จ)

ฯลฯ

เวลาเหนื่อยๆ ล้าๆ หนึ่งในงานอดิเรกที่ผมรักมากก็คือ การอ่านหนังสือ  เล่นอินเตอร์เน็ต อ่านบล็อก หรือดูภาพยนตร์ ถ้าครึ้มฟ้าครึ้มฝนวิญญาณ แฟนคลับหนังสือ "กว่าจะเป็นสารคดี"ของคุณธีรภาพ  โลหิตกุล เข้าสิงเมื่อไหร่ ก็ได้ฤกษ์ ก้าวเท้าแบกกล้องออกจากรังไปแสวงหาความรู้ข้างนอก เดิมทีมีอาวุธ คือ yashica fx3 ต่อมาก็กลายเป็น Nikon FM2N  และ Nikon F 90x  และด้วยอาการปวดคอที่ไม่เอื้อตามสังขารที่ล่วงโรย ปัจจุบันมีอาวุธคู่กาย คือ  Cannon Power  Shot A70  เรียกว่าเอาง่ายเข้าว่า

หรือถ้าเครียดๆ และไม่สามารถปล่อยวางได้จริงๆ ทำยังไงแล้วก็ไม่สามารถปล่อยวางได้จริงๆ  หนึ่งในวิธีแก้ที่ชะงัดที่สุดที่ผมเคยเจอ  คือการไปกราบพระภิกษุ ครูบาอาจารย์ที่เคารพครับ
หลายครั้งผมเองพบกับตัวเองว่าหลวงปู่ หลวงพ่อหลายองค์ที่ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติจริง ก็ให้คติรรมดีๆ กับเราได้ ทั้งๆที่หลายองค์ก็ไม่ได้สำเร็จการศึกษาทางโลกสูง ตรงกันข้ามกับเราเองที่บางครั้งทะนงตัวว่าเรียนจบสูง แต่บางที่กลับแก้ปัญหาชีววิตตนเองไม่ได้ น่ายิ้มเยาะตัวเองให้เข็ด เวลามีทุกข์จริงๆ ความทะนงตัวเองก็ช่วยเราไม่ได้

 จำได้ว่าได้เคยไปกราบหลวงพ่อทองดี ที่จังหวัดพิจิตร และเรียนถามท่านว่า เวลาทำงานหลายครั้งก็มีอะไรมากระทบใจให้ทุกข์ และเสียกำลังใจ (เราไม่กล้าเล่ารายละเอียดให้ฟัง) เราจะทำอย่างไร ท่านก็เมตตาตอบเราว่า

รู้ว่าทุกข์แล้วไปเก็บมันไว้ทำไมล่ะ เหมือนหมาเน่าลอยตามน้ำมามาติดกอสวะที่หน้าบ้าน ส่งกลิ่นเหม็น ถ้าเราเอาสวะออก หรือเอากิ่งไม้ออก หมาเน่าก็จะลอยไปตามแม่น้ำไปเอง นี่มัวเอาไม้ไปเขี่ยมัน หมาเน่าก็เลยยังติดอยู่หน้าบ้าน ไม่ลอยไปเสียที...

 

อืม... ฟังแล้ว ปิติใจครับ นี่เองมั่งทำให้ผู้ที่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าและนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ถึงกล่าวกันว่า ธรรมะนี้เป็นของอัศจรรย์

"...ในโลกใบนี้ไม่มีใครหรอกที่จะสุขเต็มร้อยเปอร์เซนต์ ต้องมีทุกข์กันทุกคน..." แล้วเราก็ย้อนมาดูตัวเรา เออก็จริงหว่า มัวแต่ไปยึดมันมาก็เลยเกิดภาระ...

ลึกซึ้ง.. ง่าย ได้ความสบายใจ

แล้วท่านก็เมตตาบอกอีกว่า"คนเรานี้จะมัวมานะทิฐิ แก่งแย่งแข่งขันกันไปถึงไหน ที่นั่งอยู่นี้พวกเราก็รอวันตายกันทุกคน  ถ้าหันมาพิจารณาในกายเราแล้วมีอะไรให้น่ายินดีบ้าง"

อืม เรานี้โง่ไปถนัดใจเลย...

เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านสอนตอนบวชให้ฟังถึงเรื่องหมาขี้เรื้อน "พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้มีใจความว่า  ปุถุชนคนเราที่ไม่ได้ฝึกใจนี้ เหมือนหมาขี้เรื้อน ไปอยู่ที่ไหนก็คัน แล้วก็หาว่า สถานที่มันไม่ดี โพรงไม้ที่ตนไปอยู่มันไม่ดี มันคัน ... ก็กัดไปทั่ว ดิ้นรนแสวงหาที่อยู่ใหม่ก็แล้ว  กระโดดลงน้ำก็แล้ว เอาตัวไปคลุกโคลนก็แล้ว ก็ไม่หายคัน  เพราะลืมดูว่าเหตุแห่งความคันนั้น อยู่ที่ตัว ไม่ใช่อยู่ที่สถานที่ เหตุก็คือ ตัวนั้นมันไม่ดี ก้เหมือนคนเรานี้เอง ใจยังไม่ฝึก ไปอยู่ที่ไหน มีอะไรมากระทบก็บอกว่า ทุกข์แล้ว ไม่ดีหรอก สาระพัด แล้วก็เที่ยวโทษไปว่าที่ที่เราอยู่นั้นมันไม่ดีแต่ลืมมองไปว่า ถ้าเราฝึกใจเราให้ดีแล้ว ก็จะเหมือนหมาที่ไม่เป็นโรคเรื้อน ไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่คัน จะนั่งยืนเดินนอนก็ไม่คัน" 

ผมจำได้ว่าพอฟังเทศน์บทนี้ของหลวงพ่อ แล้วก็หันมามองตัวเราเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า เรานี้สงสัยเป็นหมาขี้เรื้อนเต็มตัวนี่นา เพราะไม่เคยฝึกใจเลย

เดี๋ยวบางท่านจะมองคำสอนของพระพุทธเจ้าในแง่เดียว ว่าที่จริงเหตุทั้งหลายที่เกิดกับตัวเรานั้น ครูบาอาจารย์หลาย ท่านได้เมตตาบอกพวกเราว่า เกิดจากการกระทำและเกิดจากกรรม ของพวกเราเอง ผมเคยสับสน กับคำสอนข้อนี้ แล้วก็ มักจะคิดไปว่า ถ้าคนคนนั้นไม่ทำกับเราอย่างนี้ มันก็จะไม่เกิด นั้นเป็นเพียงการมองในด้านเดียว แล้ว ก็เป็นการมองอย่างเข้าข้างตัวเองเสียด้วย

ก็กาแฟมันต้องขมเป็นธรรมชาติใช่ไหม

คนก็มีหลายแบบใช่ไหม...

แล้วเราจะไปบังคับคนอื่นให้เป็นอย่างที่เราคิดได้อย่างไร ?

เราจะไม่สามารถไปบังคับใช้กาแฟที่ธรรมชาติมันขมนั้นหวานได้ฉันใด เราก็ไม่สามารถไปบังคับคนอื่นที่มีธรรมชาติในตัวตนของตนเองได้ฉันนั้น

คน คนนี้ นิสัยจริตอย่างนี้ มีความคิดแบบนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ไปตามเหตุและปัจจัยของมันมันก็ถูกแล้วจริงไหม? 

มันก็อยู่ที่ว่าเรามีหน้าที่ต่อคนคนนี้อย่างไร ถ้าเรามีหน้าที่ต้องบังคับบัญชา ก็เตือนไป สั่งไปตามหน้าที่ตามสิ่งที่ถูก 

ถ้าเป็นเพื่อนแล้วเรามีหน้าที่บอกก็บอก ก็เตือนในฐานะกัลยณมิตร(ต้องดูวิธีให้เหมาะสมด้วย)

ถ้าเป็นผู้น้อยไม่สามารถทำอะไรได้ ก็มีหน้าที่นำสิ่งต่างๆ นั้นมาสอนใจ เราเองว่า ถ้าสิ่งนั้นมันไม่ถูกใจเราก็อย่าไปทำกับคนอื่นๆ แล้วก็จบ แต่ถ้ามีคนถาม ถ้าเรามีหน้าที่ตอบก็ตอบไปตามความเป็นจริง(ต้องดูวิธีและสถานการณ์ให้เหมาะสมด้วย)

 

 

เกล้าขอกราบบูชาคุณครูผูยิ่งใหญ่ของเรา อันได้แก่คุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า พระธรรมแห่งองค์ท่านนั้นอัศจรรยยิ่งนัก

 

หมายเลขบันทึก: 246621เขียนเมื่อ 6 มีนาคม 2009 01:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 05:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ดีมากเลยครับอาจารย์ มีหลาย ๆ ๆ สิ่ง ที่ผมยังไม่เข้าใจ อย่างว่า มันเกิดจากตัวเราทั้งนั้น ผมจะลองนำไปปฏิบัติ ดูนะครับ ขอบคุณนะครับกับสิ่ง ดี ๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท