เมื่อวานนี้หลังจากเดินทางกลับมาจากบ้านผู้หว่าน ผู้วิจัยได้เข้าไป Check Mail ปรากฎว่ามี Mail จากทีมประสานงานเข้ามาก็เลย print มาอ่าน ความจริงอยากตอบตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ยังเรียบเรียงเนื้อหาไม่ค่อยได้ พอมาเช้าวันนี้อาการก็ยังไม่ดีขึ้น แต่เอาล่ะ ถ้ารอต่อไป ทีมกลางก็คงจะไม่ได้คำตอบหรือความคิดเห็นอะไร ยังไงก็พยายามทำความเข้าใจหน่อยก็แล้วกันนะคะ อาจตอบวกไปวนมา ตอบไม่ตรงประเด็น แต่คำตอบนี้มาจากใจและความรู้ (ที่พอจะมีอยู่น้อยนิดจากการทำงานในโครงการนี้ค่ะ) นะคะ ขอยืมใช้วลีของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ที่ได้พูดเอาไว้ในหัวข้อ Competence ของคุณอำนวยในส่วนของการสร้างบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ท่านบอกประมาณว่า "ไม่มีอะไรถูก ไม่มีอะไรผิด" (ผู้วิจัยก็จำไม่ค่อยได้ว่าเป็นวลีนี้ตรงๆหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ตรงก็ความหมายประมาณนี้แหละค่ะ)
ในประเด็นที่ว่าการเข้าไปสร้างการเรียนรู้เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจาก โครงการวิจัย คือ การหาความรู้ เพื่อทำให้เป็นกรณีทั่วไป โครงการไม่อาจสนับสนุนทุนดำเนินการให้กับชุมชนอย่างต่อเนื่องได้ ดังนั้น ความคาดหวังในเรื่องนี้ก็คือ องค์กรการเงินชุมชนในโครงการสามารถขอทุนสนับสนุนจาก อบต.ในการดำเนินกิจกรรมเรียนรู้ได้อย่างไร? ซึ่งสามารถขอได้ทุกปีถ้ามีความรู้และสามารถจัดการได้ (จัดการความรู้)ผู้วิจัยขอตอบและแสดงความคิดเห็นโดยรวมเลยก็แล้วกันนะคะ (รบกวนทีมกลางช่วยแยกประเด็นเองนะคะว่าอันไหนเป็นคำตอบ อันไหนเป็นความคิดเห็น) สำหรับในประเด็นนี้นั้นตั้งแต่ตอนแรกของการเริ่มโครงการจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผู้วิจัยจับความได้ 2 ประเด็น (ขอแยกแบบนี้ก็แล้วกันนะคะ) คือ
1.ภาคทฤษฎี
เป็นหน้าที่ของนักวิจัยที่จะต้องเข้าไปศึกษาแนวทาง
วิธีการ
และทักษะความรู้ที่จำเป็นของหน่วยงานสนับสนุนในการที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานและการเรียนรู้ทั้งในระดับเครือข่ายองค์กรออมทรัพย์ชุมชนและองค์กรออมทรัพย์ชุมชนรวมทั้งแนวทางการทำงานร่วมกันของหน่วยงานสนับสนุนกับองค์กรการเงินชุมชนทั้งในระดับเครือข่ายและระดับองค์กร
เพื่อจะนำไปสู่การเสนอและกำหนดเป็นนโยบายต่อไป
2.ภาคปฏิบัติ เป็นหน้าที่ของนักวิจัย คุณอำนวย
(รวมทั้งเครือข่าย
องค์กร)ที่จะต้องเข้าไปชักชวนหน่วยงานสนับสนุนเหล่านี้ให้มาทำงานร่วมกัน
ถ้านักวิจัยรวมทั้งคุณอำนวยสามารถทำในข้อนี้ได้ งานของนักวิจัยที่ในช่วงแรกจะต้องเป็นคุณอำนวยด้วย
เป็นคุณวิจัยด้วยก็จะลดลงไป (พูดง่ายๆ คือ
ไม่ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเหมือนกับในช่วงแรก)
ในทั้ง 2 ประเด็นนี้ทีมวิจัยของลำปางมีความตระหนักและเห็นความสำคัญเป็นอย่างมาก สิ่งที่ทีมวิจัยซึ่งประกอบด้วย 2 สาว กับ 1 หนุ่ม คือ ผู้วิจัย อาจารย์พิมพ์ฉัตร และคุณสามารถ ได้ดำเนินการไปแล้วก็คือ การลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับหน่วยงานสนับสนุนทั้งในระดับจังหวัด และระดับพื้นที่ สำหรับจุดประสงค์ของการลงพื้นที่พบหน่วยงานสนับสนุนนั้นก็เพื่อ
1.เป็นการทำความรู้จัก แนะนำว่าตอนนี้เครือข่ายฯ และ กลุ่มต่างๆกำลังทำอะไร (ไปขายว่ามีพวกเราอยู่ในโลกนี้นะ)
2.ฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่มีต่อเครือข่ายฯและกลุ่มต่างๆ (ไปฟังว่าเขามองเราหรือคิดกับเราอย่างไร)
3.ศึกษาว่าเขามีภารกิจ บทบาทหน้าที่ วิสัยทัศน์ แนวนโยบายเกี่ยวกับการทำงานกับองค์กรการเงินชุมชนอย่างไร (หาช่องทางเสียบงานของเราให้เป็นส่วนหนึ่งของงานประจำของเขา หรือถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ก็จะได้รู้ว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไร)
4.แนวทางการทำงานร่วมกัน (ไปทาบทามให้เขามาทำงานกับเรา หรือไม่เราก็ขอไปทำงานกับเขา)
จากจุดประสงค์ของการลงพื้นที่ทั้ง 4 ข้อนี้ หลังจากที่พวกเราได้ลงพื้นที่แล้ว เราก็มีการคุยกัน ผู้วิจัยขอสรุปออกมาเป็นข้อๆดังนี้นะคะ
1.ถ้าพูดถึงในระดับจังหวัดหรือระดับเครือข่ายฯ พบว่า หน่วยงานสนับสนุนระดับจังหวัด เช่น รองผู้ว่าราชการจังหวัด พัฒนาชุมชน พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน สาธารณสุข ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เกษตรจังหวัด (หน่วยงานหลังนี้ขอสารภาพตามตรงค่ะว่ายังไม่ได้ไปพบเลย เพราะว่า เวลาว่างของทีมวิจัยกับหน่วยงานไม่ตรงกันเสียทีค่ะ) เป็นต้น รู้ว่ามีเครือข่ายฯนี้อยู่ในจังหวัดลำปาง แต่ไม่รู้ว่าทำอะไรกัน (อย่างถ่องแท้และถูกต้อง) พวกเราก็ช่วยกันอธิบายไปแล้ว พร้อมกับส่งรายละเอียดต่างๆของเครือข่ายฯ รวมทั้งโครงการวิจัยให้กับทุกหน่วยงาน
สำหรับในระดับพื้นที่เป้าหมายทั้ง 5 กลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย องค์กรออมทรัพย์ชุมชน นาก่วมใต้ (เทศบาลนครลำปาง) , องค์กรออมทรัพย์ชุมชนแม่ทะ-ป่าตัน (เทศบาลตำบลป่าตัน- นาครัว) , องค์กรออมทรัพย์ชุมชนเกาะคา (เทศบาลตำบลเกาะคา) , องค์กรออมทรัพย์ชุมชนบ้านดอนไชย (เทศบาลตำบลล้อมแรด) และองค์กรออมทรัพย์ชุมชนแม่พริก (เทศบาลตำบลแม่พริก) หน่วยงานสนับสนุนในระดับพื้นที่ ในส่วนของ อบต. , เทศบาล ส่วนใหญ่จะรู้จักกลุ่มเหล่านี้ และพอที่จะรู้ว่ากลุ่มเหล่านี้ทำอะไร (รู้ละเอียดกว่าหน่วยงานในระดับจังหวัด) มีเพียง 1 พื้นที่เท่านั้นที่ไม่รู้ว่ามีกลุ่มออมทรัพย์เพื่อสวัสดิการชุมชนในพื้นที่ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ ในขณะที่หน่วยงานสนับสนุนอื่นๆ เช่น สาธารณสุข เกษตร ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ฯลฯ ก็พอที่จะรู้จักกลุ่มเหล่านี้เช่นกัน อาจเป็นเพราะว่าเป็นหน่วยงานในระดับพื้นที่ซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าหน่วยงานในระดับจังหวัด รวมทั้งกรรมการของกลุ่มต่างๆก็ทำงานอยู่ในหน่วยงานเหล่านี้ด้วย ทำให้เป็นที่รู้จักกันไปในตัว
2.จากการแนะนำเครือข่ายฯและกลุ่มต่างๆของทีมวิจัย พบว่า ในระดับเครือข่าย ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง (ท่านเจริญสุข ชุมศรี) เห็นด้วยกับแนวคิดการจัดตั้งกลุ่ม ท่านได้ให้ความกรุณาในการมาเปิดงานที่ทางเครือข่ายฯร่วมกับหน่วยงานอื่นๆจัดขึ้นเสมอ ในขณะที่หน่วยงานอื่นๆ ต่างลงความเห็นเป็นแนวทางเดียวกันว่ายังไม่รู้ว่าเครือข่ายฯมีการทำงานอย่างไร มีการบริหารจัดการอย่างไร รวมทั้งไม่รู้ว่าจะเข้ามาทำงานกับเราอย่างไร (พูดง่ายๆ คือ ไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเรา) ในขณะที่บางหน่วยงานก็บอกว่าพอที่จะรู้ว่าเราทำอะไร แต่งานของเครือข่ายฯกับภารกิจของหน่วยงานไม่เกี่ยวข้องกัน ยังมองไม่เห็นว่าจะดำเนินการหรือทำงานร่วมกันได้อย่างไร (แต่ก็มีบางหน่วยงานที่ได้แนะนำให้เราว่าถ้าจะทำงานร่วมกันจะต้องเข้าทางช่องไหน แต่ก็นั่นแหละค่ะ การทำงานร่วมกันมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าเขาเปิด เราปิด หรือ เราเปิด เขาปิด ก็ไม่เกิดการทำงานร่วมกันแล้ว)
สำหรับในระดับพื้นที่เป้าหมายทั้ง 5 กลุ่ม พวกเราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่ก็มีข้อสังเกตอยู่ประการหนึ่ง คือ บางหน่วยงาน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอำเภอ) ยังมองว่าการดำเนินการของกลุ่มหรือเครือข่ายฯเป็นแบบแชร์ลูกโซ่ (ซึ่งก็คือผิดกฎหมายนั่นแหละค่ะ เพียงแต่เขาไม่พูดตรงๆ) แสดงว่าเขายังไม่มีความเข้าใจว่าเราทำอะไร และทำอย่างไร ในขณะที่ถ้าเป็น อบต. หรือ เทศบาล จะค่อนข้างมองกลุ่มในแง่ดี และเห็นว่าควรที่จะมีการสนับสนุนกล่มต่างๆแต่คงต้องคุยในในแนวทางต่อไป
3.จากการศึกษาภารกิจ บทบาทหน้าที่ วิสัยทัศน์ ตลอดจนนโยบายการทำงาน ขอยอมรับว่าในการลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ค่อยได้ข้อมูลที่เป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่ถ้าหากนำข้อมูลมาเรียบเรียงก็พอมองเห็นภาพบ้าง (รายละเอียดส่วนหนึ่งอยู่ใน Blog ค่ะ แต่อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่ผู้วิจัย ขอสารภาพอีกครั้งค่ะว่ายังทำไม่ค่อยเรียบร้อย) ในส่วนนี้ทีมวิจัยขอเวลาอีกสักนิด เราจะไปศึกษาในประเด็นนี้ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ ในมุมมองของผู้วิจัยเห็นว่าการที่วัตถุประสงค์ข้อนี้ไม่ค่อยบรรลุเป้าหมายนัก คงจะมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น การตั้งคำถามที่อาจยังไม่ชัดเจน , นักวิจัยไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มากนัก ทำให้เวลาหน่วยงานตอบคำถามมา เราไม่รู้ว่าจะถามต่อยังไง , พวกเราไม่ค่อยเปิดโอกาสให้หน่วยงานพูดมากนัก ส่วนใหญ่ฝ่ายเราจะเป็นคนพูด หลายๆครั้งก็นอกเรื่อง , มีเวลาในการสนทนาน้อยเกินไป (ในบางหน่วยงาน) เป็นต้น
4.แนวทางการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานสนับสนุนในระดับจังหวัดหรือระดับพื้นที่ ต่างแสดงทัศนะเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันว่ายินดีที่จะทำงานร่วมกับองค์กรชุมชน เพราะ ภารกิจหน้าที่ของราชการก็คือ การรับใช้ประชาชนอยู่แล้ว หากแต่ก็พบความแตกต่างที่สำคัญบางอย่าง คือ
ถ้าเป็นหน่วยงานสนับสนุนในระดับจังหวัดหรือระดับพื้นที่
โดยเฉพาะอำเภอ ในการที่จะทำงานร่วมกัน
ทางองค์กรจะต้องทำเอกสารมาให้ขัดเจนว่าต้องการความช่วยเหลืออะไร
ต้องการให้อำเภอหรือหน่วยงานประสานงานในเรื่องอะไรบ้าง
มีโครงการอะไร ใครเป็นผู้รับผิดชอบ
ต้องระบุให้ชัดเจน ในมุมมองของผู้วิจัยเห็นว่า
หน่วยงานเหล่านี้จะทำงานตามคำสั่ง
ตามบทบาทหน้าที่อย่างเคร่งครัด
ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการทำงานร่วมกัน
ทั้งนี้เพราะ
เราต้องเข้าใจองค์กรชาวบ้านอย่างหนึ่งเหมือนกันว่าความถนัดหรือความรู้ในเรื่องการเขียนที่เป็นเรื่องเป็นราว
เป็นแบบแผนนั้นมีค่อนข้างน้อย
บางองค์กรอาจไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร งานก็เลยไม่ค่อยเดิน
ไม่ค่อยมีการทำงานร่วมกัน
โดยเฉพาะถ้าเป็นกลุ่มที่ทางราชการไม่ได้มาจัดตั้งให้อย่างเช่นเครือข่ายฯ
หรือองค์กรต่างๆที่เป็นสมาชิกเครือข่ายฯก็ยิ่งไม่ (ค่อย)
ได้รับการดูแล
แต่ถ้าเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
จะค่อนข้างเปิดมากกว่าหน่วยงานราชการ
ไม่ค่อยมีความต้องการเอกสารที่เป็นทางการมากนัก
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นค่อนข้างที่จะเปิดช่องให้องค์กรต่างๆเข้ามาทำงานด้วยหลายช่องทาง
เช่น
มีการเสนอมาจากแทบทุกเทศบาลว่าหากมีการประชุมประจำเดือนของเทศบาลอยากจะให้ทางเครือข่ายฯหรือองค์กรในพื้นที่เข้าร่วมประชุมด้วย
เพื่อที่จะได้อธิบายรายละเอียดต่างๆให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับทราบ
ในส่วนของการสนับสนุนสนุนงบประมาณนั้น อปท.
แนะนำว่าให้เขียนโครงการเข้ามา
จะพิจารณาอนุมัติให้เป็นรายปีงบประมาณ เป็นต้น
จากข้อเสนอต่างๆขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ผู้วิจัยเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี
แต่ก็ต้องยอมรับความจริงอีกแหล่ะค่ะว่าที่ผ่านมาเมื่อคุยกันแล้ว
เราไม่ได้สานต่อ ผู้วิจัยยอมรับผิดในเรื่องนี้ค่ะ
เป็นเพราะว่าผู้วิจัยไม่มีเวลาว่างจริงๆ
ถ้าจะอาศัยคุณอำนวย
ก็ต้องยอมรับอีกว่าคุณอำนวยหลักของเรามีเพียงคนเดียว
ซึ่งก็มีภารกิจมากเช่นกัน ผู้วิจัย รวมทั้งคุณอำนวยหลัก
และองค์กรต่างๆเห็นตรงกันว่าตอนนี้เราขาดคุณอำนวย
คุณอำนวยของเรายังมีไม่เพียงพอ
ทั้งๆที่มีหลายคนที่มีศักยภาพที่จะเป็นคุณอำนวยได้
แต่เรายังไม่ได้เสริมทักษะ ความรู้
ทัศนคติให้กับว่าที่คุณอำนวยเหล่านี้
ทำให้ยังขาดความมั่นใจ
หรืออาจมีความมั่นใจแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเดินอย่างไร
ตรงนี้คงเป็นหน้าที่ของทีมวิจัยที่จะต้องเข้ามาช่วย
แต่ด้วยบทบาทของผู้วิจัยและอาจารย์พิมพ์ที่เป็นเพียงนักวิจัย
ที่สำคัญ คือ เราเป็นคนนอก
หลายๆครั้งเราก็รู้ว่าเราควรทำอะไร แต่เราทำไม่ได้
ตอนนี้สิ่งที่เรา 2 คนทำได้ดีที่สุด คือ
ให้คำปรึกษาและลงพื้นที่ไปหาองค์กรต่างๆ (เป็นพี่เลี้ยง)
แต่อย่างไรก็ตาม
หลังจากที่เราเริ่มหันเหการจัดการความรู้มาเจาะลึกที่กลุ่มและสมาชิก
เราคงทำงานได้สะดวกและมากยิ่งขึ้น
เรามีโครงการที่จะทำกับหน่วยงานสนับสนุนเหมือนกัน
แต่ยังไม่ได้ทำ เลยไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร
คงต้องขอเวลาอีกสักนิดนะคะ
โดยสรุป คือ ผู้วิจัยเห็นด้วยกับข้อ Comment
ของทีมกลางค่ะ คงจะพยายามทำในประเด็นนี้ต่อไป
โดยสิ่งที่จะต้องทำอย่างเร่งด่วน คือ
การพัฒนาคุณอำนวยและการบริหารจัดการภายในให้เป็นระบบ
เราจะได้ตอบคำถามต่างๆได้ ถ้าพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
ต้องทำตัวเองให้พร้อมก่อน ตอนนี้เครือข่ายฯ รวมทั้งกลุ่ม
(หลายกลุ่ม)
กำลังอยู่ในระหว่างการปรับเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการอยู่ค่ะ
หมายเหตุ :
ไม่รู้ว่าจะตอบและให้ความเห็นตรงกับคำถามหรือเปล่า
ถ้าจะให้ดีคงต้องอ่านข้อที่ 2 ประกอบด้วยค่ะ เพราะ
ผู้วิจัยก็ยังงงอยู่ว่าระหว่างข้อ 1 กับ ข้อ2
จะตอบต่างกันอย่างไร เหมือนกันอย่างไร