ที่มา : มีคน Forward Mail มาให้
วันก่อนผมไปคุยงานกับองค์กร แห่งหนึ่ง
เกี่ยวกับหลักสูตรที่เขาต้องการให้ผมไปสอนพอพูดคุยกันจบเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าก็เดินออกไป
เหลือผมกับน้องใหม่ขององค์กรคนหนึ่งที่คอยต้อนรับผมในขณะที่ผมกำลังเก็บของอยู่
เขาทำท่าลังเลเหมือนจะถามอะไรบางอย่างแต่ก็
ไม่กล้าถามเสียที
จนผมเก็บของเสร็จ เขาจึงเอ่ยปากถามแบบอายๆ ว่า
เคยได้ยินเกี่ยวกับกฎ 80/20 ไหม ผมบอกว่า เคย
เขาทำหน้าสบายใจขึ้น คือเรื่องของเรื่องเขากลัวตัวเองจะปล่อยไก่
เพราะเขาไม่แน่ใจว่า ไอ้กฎ 80/20
นี้เป็นกฎสากลหรือเป็นกฎที่ใช้กันเองภายในองค์กรของเขาเท่านั้น
ปัญหาของเขาก็คือ ในองค์กรโดยเฉพาะหัวหน้าของเขาชอบพูดเรื่องของ
กฎ 80/20 กันมาก เขาเข้ามาใหม่
เลยไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร และมันมีประโยชน์อย่างไร
ก่อนอื่นผมบอกได้เลยว่า กฎ 80/20
นี้เป็นทฤษฎีสากลอย่างหนึ่ง
ดังนั้นไม่ต้องอายที่จะถาม
ที่มาของกฎ 80/20
กฎ 80/20 หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกกันว่า
Pareto"s Principle
เป็นกฎที่เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญก็เกือบจะว่าได้ ผมขอ
เท้าความถึงความเป็นมาของทฤษฎีนี้นิดหนึ่ง
เรื่องของเรื่องมันเริ่มมาจากในปี 1906 Vitfredo Pareto
นักเศรษฐศาสตร์
ชาวอิตาลีได้สร้างสมการตัวเลขเกี่ยวกับความร่ำรวยของคนภายในประเทศของเขา
โดยจากการสังเกตการณ์ได้ค้นพบว่า 20%
ของคนในประเทศเป็นเจ้าของความมั่งคั่ง ถึง 80% !!
จริงๆ แล้วหลังจากการสังเกตการณ์ของ Pareto
ในครั้งนั้นดูเหมือนว่าผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ
ก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่า
ในงานที่ตนเองทำอยู่แต่ละอย่างจะมีปรากฏการณ์ของกฎ 80/20
อยู่เป็นประจำ จนราวๆ ปี 1940 Dr.Joseph M. Juran
จึงสรุปแนวคิด เรื่อง 80/20 ไว้ว่า
สิ่งสำคัญจำนวนไม่ต้องมากกลับสามารถสร้างผลกระทบได้เยอะแต่สิ่งไม่สำคัญจำนวนเยอะๆ
กลับสร้างผลกระทบได้ไม่มาก (vital few and trivial many)
แล้ว Dr.Joseph จึงค่อยมาพบภายหลังว่า
สิ่งที่เขาสรุปเป็นอะไรที่ Pareto ค้นพบมาก่อนหน้านี้
จึงใช้ชื่อทฤษฎีนี้ว่า Pareto"s Principle
หรือที่เราเรียกกันอย่างง่ายๆ ว่า กฎ 80/20
กฎ 80/20 หมายถึงอะไร
กฎ 80/20 หมายถึงอะไรก็ตามที่ส่วนน้อย
(ประมาณ 20%) เป็นสาระสำคัญของเรื่องนั้นๆ
และอะไรก็ตามที่ส่วนมาก (ประมาณ 80%) ไม่ค่อยมีสาระสำคัญ
อย่างในกรณีของ Pareto ที่ว่า 20%
ของประชากรเป็นเจ้าของความมั่งคั่ง 80%
ในประเทศ
ในขณะที่กรณีของ Dr.Joseph เขาพบว่า 20%
ของปัญหาก่อให้เกิด ความเสียหายถึง 80%
หรือตัวอย่างใกล้ๆ ตัวเรา เช่น ยอดขายประมาณ 80%
ขององค์กรมาจากจำนวนลูกค้าประมาณ 20% เท่านั้น
เป็นต้น
ดังนั้น คำถามต่อไปจึงเกิดขึ้นว่า แล้วกฎ 80/20
นี้สามารถใช้อธิบาย ปรากฏการณ์อื่นๆ ได้ทุกเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการคน หรือไม่
?
คำตอบคือ
ทฤษฎีหรือแนวคิดใดๆในโลกนี้คงไม่สามารถใช้อธิบายสถานการณ์ทุกๆ
สถานการณ์ได้ 100% โดยไม่มีข้อยกเว้นหรอก
เพียงแต่ถ้าทฤษฎีหรือแนวคิดนั้นๆ อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นได้สัก 80-90% ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ใช้ได้แล้ว
ซึ่งแนวคิดเรื่อง 80/20
ก็มีลักษณะคล้ายกับทฤษฎีความเชื่ออื่นๆ
ทั่วไปเช่นกัน
เพราะฉะนั้น หากเราจะนำเอากฎ 80/20
มาอธิบายการบริหารจัดการให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น โดยยกตัวอย่าง
สัก 2-3 เรื่องก็น่าจะได้แก่ 20%
(โดยประมาณ) ของคนในองค์กร
ควบคุมอำนาจในการบริหารจัดการไว้ถึง 80%
หรือเนื้องานเพียงประมาณ 20% ที่คุณทำ
(เท่านั้น) ที่สร้างผลลัพธ์ได้ถึง 80%
(หรืออีกนัยหนึ่ง งานที่คุณทำเกือบ 80%
สร้าง impact
ในเชิงบวกให้กับองค์กรเพียงแค่ 20%
เพราะส่วนมากเป็นงาน routine หรือ
paperwork ซึ่งมีคุณค่าน้อยต่อองค์กร) หรือคนสักประมาณ
20% ในองค์กร (เท่านั้น) ที่เป็น top performer, super
talent หรือ future leaderในขณะที่คนอีก
80% ไม่ใช่ เป็นต้น
ดังนั้น สาระสำคัญของกฎ 80/20 นี้
จึงเป็นเครื่องมือที่คอยย้ำเตือนคุณเสมอ ให้มุ่งเน้นไปที่ 20%
ของส่วนที่เป็นสาระสำคัญ
เพราะฉะนั้นในการทำงานทุกๆ อย่าง
ไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรืองานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ
จงหาให้ได้ว่าใครหรืออะไรคือ 20% นั้นที่จะสร้างผลลัพธ์
ไห้ได้ถึง 80% แล้วจงใช้เวลา ทรัพยากร
และความทุ่มเทของคุณ 80% ไปให้กับ 20%
นั้น
และจงถือว่า 20% นี้เป็นหัวใจของการทำงาน
อย่าให้สิ่งอื่นใดมาทำให้คุณต้องพลาดหรือสูญเสีย 20%
นี้ไปเป็นอันขาด เพราะมันจะทำให้ผลลัพธ์ของคุณสูญไปถึง
80% เลย... ทีเดียวเชียว !
ผมหวังว่ากฎ 80/20 นี้จะทำให้หลายๆ คนเข้าใจอะไรๆ
ได้มากขึ้น จงอย่าแค่ทำงานอย่างฉลาด (work smart)
เพียงอย่างเดียว แต่จงทำงานอย่างฉลาดบนสิ่งที่สมควรต้องทำ
(Work smart on the right things)
ด้วยจึงจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
ชอบบทความนี้มากครับ ทำให้เข้าใจกฎ 80/20 ดียิ่งขึ้น
กฎ 80/20 หมายถึง
อะไรก็ตามที่ส่วนน้อย (ประมาณ 20%) เป็นสาระสำคัญของเรื่องนั้นๆ และอะไรก็ตามที่ส่วนมาก (ประมาณ 80%) ไม่ค่อยมีสาระสำคัญ อย่างในกรณีของ Pareto ที่ว่า 20% ของประชากรเป็นเจ้าของความมั่งคั่ง 80% ในประเทศ
ขอบคุณครับ
ดีมากครับ และคิดว่านะจะเป็นเรื่องจริงในองค์กร
ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ 20%
ดีมากครับ เป็นประโยชน์กับผมมาก
Vilfredo Federico Damaso ( 15 July 1848 – 19 August 1923) เป็นวิศวกร อิตาลี ผู้สนใจเศรษฐศาสตร์ ตั้งทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ จากแนวคิดที่เรียกว่าThe Pareto principle (หรือ the 80/20 rule, the law of the vital few, หรือ the principle of factor sparsity)ซึ่งระบุ คนหนึ่งคน มีศักยภาพสูงสุดในการทำงานได้เพียง 80%ของงานเท่านั้น หากจะให้งานนั้นครบสมบูรณ์ ก็ต้องนำส่วนที่เหลือ 20%นั้นมา ทำใหม่ ( Pareto improvements)..ในส่วน20%ที่นำมาตั้งต้นทำใหม่ให้ครบ100% ก็จะเหลืออีก 20% ต่อไป เช่นนี้เรื่อย เพื่อให้ไปถึง” เป้าหมายสูงสุด100%ของ พาเรโต้ “( Pareto optimality)…จากทฤษฎีพาเรโต้ หรือ กฎ 80/20 นี้ ท่านจึงนำมาพัฒนาแนวความคิดทางmicroeconomics….ที่แปลเป็นภาษาไทยนั้น ผิดบ้างถูกบ้างแทบทั้งนั้นเพราะไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง จึงเรียนมาเพื่อทราบ