ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า : เปรียบโคกับคน โดยปกติโคชอบกินหญ้า การบังคับ
โดยการกดเขาโคลงเพื่อให้ได้กินหญ้านั้น บางครั้งโคอาจไม่อยากกินก็เป็นได้ เพราะหญ้าที่กินไปอาจเป็นหญ้าเน่าหรือหญ้าที่ไม่เคยกินอยู่ทุกวัน ถึงกระนั้นโคก็ต้องยอมทำตาม
หากผมคือหญ้า การสอบเข้ามหาวิทยาลัยคงเป็นวัชพืช
เมื่อหกเดือนก่อนเรายืนกันคนละขั้ว ยืนกันคนละข้าง ผมสร้างเหตุผลขึ้นมาเป็นร้อยพันเพื่อนำมายันว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็น
แต่กลับเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต สำหรับสายตาหลังแว่นสายตาของพ่อ แม่ ท่านจะคอยเจ้ากี้เจ้าการถามไถ่ ตกลงเอนทรานซ์เดือนไหน มีสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัย ไปถามรายละเอียดมาหรือยัง จะกวดวิชาเมื่อไร จัดตารางอ่านหนังสือยังไง
หนังสือเตรียมสอบกว่าสิบเล่มกองตรงไหน ก็ยังให้แมงมุมไต่ในตำแหน่งเดิม ไม่ต้องพูดถึงรายระเอียดที่ให้ไปถามตามมหาวิทยาลัยหรอก แหะ แหะ แหะ
ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับหนังสือทุกประเภท ( ยกเว้นหนังสือเรียน ) ไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นมีญาติผู้ใหญ่หลายฝ่าย พาเหรดกันมานัดทานข้าวแล้วพูดเรื่องเรียน บอกให้เรียน สั่งให้เรียน รวมถึงยื่นคำขาดว่าต้องเรียน
เรียน – เรียนไปเพื่อ ?
ไม่มีประโยชน์ ผมไม่ใส่ใจ
ต่อเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ต้องยื่นใบสมัครเอนทรานซ์ที่มหาวิทยาเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผมก็ไปอย่างเสียไม่ได้ ไปนั่งง่วง ๆ ร้อน ๆ ดูดน้ำมะพร้าวอ่อน ถึงคิวเขาก็เรียกขึ้นไปต่อแถว แถวยาวอีกต่างหาก
ระหว่างต่อแถวรอเซ็ง ๆ มีนักเรียนโรงเรียนอะไรก็ไม่รู้ ( รู้ก็ไม่บอกเดี๋ยวมาดักผมที่ป้ายรถเมล์ ) ยืนกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ทันใด หนึ่งในนั้นก็คว้าเก้าอี้เหล็กขึ้นฟาดนักเรียนอีกโรงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผู้เคราะห์ร้ายพยายามจะเอาใบสมัครขึ้นกัน
โถ ! กระดาษสามใบนั้นจะเอาไปกั้น พลั่ก ! เขาล้มลงไปต่อหน้าต่อตา
หลังจากนั้นการตะลุมบอนก็เกิดขึ้น ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม ก่อนจะพากันวิ่งหนีออกจากอาคารไป แน่นอน ไล่หลังโดยรปภ.
ภาพที่เห็นทำปฏิกิริยาเคมีให้คิด คิดเป็นภาพสโลว์โมชันเหมือนในหนังตอนพระเอกสำนึกผิด – ถึงแม้ว่าเอ็นทรานซ์ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่หนึ่งในชีวิตเราจะได้ทำสิ่งสำคัญให้คนที่เรารักได้ภูมิใจสักกี่ครั้ง
เป็นผลให้ตั้งแต่วันนั้นยันวินาทีนี้ท่ท่านอ่านอักษรตัวนี้ ถ้าผมไม่นั่งหัวปั่นกับหนังสือที่ห้องสมุดประชาชนข้างเซเว่น อีเลเว่น ก็คงหมกอยู่กับหนังสือในห้องนอนเล็ก ๆ
แม้ผลที่ออกมาในเดือนเมษายนจะออกมาในรูปแบบของงานฉลองหรือน้ำตา ผมคงไม่รู้สึกอะไร เพราะตอนนี้มีความสุขแล้ว ความสุขจากการได้เห็นคนที่เรารักสบายใจ
เหนือสิ่งอื่นใด ผมไม่ต้องมีใครมะสั่งให้ทำในสิ่งที่ตัวไม่เชื่อ
สิ่งที่ไม่เชื่อ – อย่างมากก็โดนบังคับให้ไปนั่งรอ
ผมเคยไปรอหญิงสาวนางหนึ่ง เรียนเต็นแจ๊สที่โรงเรียนสอนเต้น มีเพื่อนร่วมรอเป็นคุณแม่สองคน คนหนึ่งตัวเล็ก คนหนึ่งตัวใหญ่ ไม่มีใครเสียงเบาสักคน !
ตาผมจ้องอยู่ที่คอลัมน์สัมภาษณ์ลูกชายเจ้าของบริษัทใหญ่ แต่ด้วยอัธยาศัยฝักใฝ่เรื่องชาวบ้าน หูนี่เลยผึ่งอยู่กับเรื่องราวลูกสาวของคนทั้งสอง เริ่มที่แม่ผมฟู งัดออกมาก่อนเลยว่าลูกสาวเดี๊ยนน่ะ ก่อนมาเรียนเต้นที่นี่เขาไปเรียนศิลปะกับคนตรีไทย ส่วนวันอาทิตย์ไปเรียนบัลเล่ต์กับกู่เจิ้ง มามี้อีกท่านกลัวน้อยหน้าเลยพล่ามมาว่า อ๋อ คนตรีไทยกับบัลเลต์ ลูกดิฉันเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เห็นคล่องแล้วเลยให้ไปเรียนว่ายน้ำกับฟันดาบ ส่วนศิลปะลูกคุณเรียนที่ไหนคะ ของดิฉันจ้างอาร์ติสต์มาสอนที่บ้าน สอนดีมากค่ะ ฉอด ฉอด ฉอด ฉูด ฉูด ฉูด
เท่าที่ได้ฟังและถ้าเรื่องที่ได้ฟังคือเรื่องจริง หากเอาลูกสาวทั้งสองมารวมร่างกันเราจะได้เยาวชนที่มีความสามารถมากคนหนึ่งเลยทีเดียว
แต่ไม่มั่นใจ ว่าเยาวชนคนนั้นจะมีความสุขหรือเปล่า
เพราะเมื่อลูกหัวแก้วหัวแหวนของคุณแม่ทั้งสองเปลี่ยนชุดออกมา คนหนึ่งบอกว่าพรุ่งนี้คุณแม่งดเรียนให้หนูนะ หนูอยากไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง เด็กอีกคนเห็นเพื่อนเปิดประเด็น ก็ถือโอกาสอ้อน ไม่อยากเรียนฟันดาบเลย หนูอยู่บ้านเฉย ๆ สักวันได้ไหม
ได้สิลูก ( ผมคิดในใจ ) เพราะหนูไม่ใช่รถที่มีไว้ให้ใครแต่งไปโชว์กัน เอาแต่บังคับตะบี้ตะบันให้กินหญ้าแห่งความรู้เข้าไปนั้น อาจทำให้ทั้งหมดเปลี่ยนสภาพเป็นอ้วก
การข่มเขาโคไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดนอกเสียจากทำให้วัวเมื่อย เวลา
ในการคิด และโอกาสในการเลือกต่างหากที่เด็กควรได้รับ
เพราะสิ่งที่เห็นว่ามันดี มันยอด มันเยี่ยม ประเสริฐที่สุด – มันเป็นหญ้า
หากวัวไม่เชื่อและยังไม่ถึงเวลา
โคหลายตัวอาจเห็นพ้องต้องกันว่า
มันเป็นวัชพืช
ไม่มีความเห็น