เมื่อวานนี้
(17 เมษายน 2549) เป็นวันครบรอบ 1 ปี การทำงานที่
สคส. ของผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนขอเขียน (พิมพ์)
บันทึกฉบับนี้
เพื่อเป็นการทบทวนการพัฒนาการทำงานและการเรียนรู้ของตนเองจากการทำงานที่
สคส.
จริงๆ
แล้วการทำงานที่ สคส.
ทำให้ผู้เขียนได้ประสบการณ์การทำงานที่หลากหลายด้านหลากหลายมิติ
อะไรที่ไม่เคยทำไม่เคยลอง ก็ได้คิด ได้ทำ
ได้ลงมือทำ ได้ลองผิดลองถูก ได้กล้าคิด
ได้กล้าเรียนรู้
ได้ซึมซับทักษะการทำงานการคิดในมุมมองต่างๆ จากอาจารย์ทั้ง
2 ท่าน (ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช และ
ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด) ได้เรียนรู้จากเพื่อน
(ทั้งในและนอก สคส.) ได้พันธมิตรภาคีเครือข่าย
ได้กัลยาณมิตรที่ช่วยเติมเต็ม
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน ได้เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ
ได้อะไรมากมายที่ไม่สามารถสาธยายได้หมดครบในบันทึกฉบับนี้
แต่ผู้เขียนจะขอบันทึกเฉพาะสิ่งที่รู้สึกว่า
ภาคภูมิใจในพัฒนาการของตนเองมากที่สุดในรอบ 365
วันที่ผ่านมา ก็แล้วกัน นั่นคือ
การทำหน้าที่วิทยากรกระบวนการจัดการความรู้
เริ่มต้น
ผู้เขียนก้าวเข้าสู่ สคส. ด้วยความไม่รู้ว่า KM
คืออะไร
มีโอกาสศึกษาเอกสารและข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการความรู้เท่าที่หาอ่านได้
อาจารย์และเพื่อนๆ ใน สคส. ก็ไม่เคยบอกว่า
การจัดการความรู้คืออะไร
แต่ทุกคนใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ด้วยการสัมผัส
ซึมซับและลงมือทำจริงๆ เลย ประกอบกับอาศัยการสังเกต
การถาม การพูด การฟัง การใฝ่เรียนรู้
การใฝ่ค้นคว้าค้นหา
การคิดสังเคราะห์ด้วยตนเองและถอดบทเรียนออกมาเป็นการบันทึก
(ที่เผยแพร่บ้างไม่ได้เผยแพร่บ้าง)
จำได้ว่า
ตอนที่สัมภาษณ์เข้าทำงาน อ.วิจารณ์ ถามว่า
งานอะไรที่รู้สึกว่า ทำไม่ได้ ทำแล้วต้องตายให้ได้
(อ.วิจารณ์ ใช้คำพูดเช่นนี้จริงๆ ค่ะ)
ผู้เขียนตอบไปว่า ไม่รู้เหมือนกันว่างานอะไรที่ทำไม่ได้
(จริงๆ แล้ว ตอบไม่ถูกค่ะ) อ.วิจารณ์
คงเห็นว่าเป็นคำถามที่กว้างเกินไป อาจารย์เลยถามใหม่ว่า
หากต้องให้ทำหน้าที่เป็นวิทยากรกระบวนการ สามารถทำหรือไม่
ผู้เขียนจึงตอบกลับไปว่า
เคยเป็นแต่วิทยากรนำกระบวนให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชน
ส่วนกลุ่มผู้ใหญ่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ทำหน้าที่เป็นวิทยากรกระบวนการเลย
แต่คิดว่า หากเป็นงานที่เราคลุกมากับมือ คือ
มีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดีก็น่าจะทำได้
ซึ่งอาจารย์บอกว่า ให้โอกาส 3
เดือนในการเรียนรู้ เพื่อทำหน้าที่วิทยากรกระบวนการ
นั่นหมายความว่า ภายใน 3 เดือน
ผู้เขียนจะต้องขึ้นเวทีและทำหน้าที่เป็นวิทยากรกระบวนการจัดการความรู้หลักเลย
ดังนั้นในช่วง 3 – 4 เดือนแรกจึงต้องติดตาม
เรียนรู้และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิทยากรคนอื่นๆ
ไปก่อน
และแล้ววันที่ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุด คือ
การทำหน้าที่วิทยากรกระบวนการจัดการความรู้ จำได้ว่า เวทีแรก
คือ ตลาดนัดความรู้ “ครูเพื่อศิษย์ :
ประสบการณ์ความสำเร็จเพื่อเด็กไทยวัยใส (ฝ่าวิกฤติวัยรุ่น)
จัดโดย สถาบันพัฒนาผู้บริหารการศึกษา (สพบ.)
ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมรอยัล ซิตี้ ปิ่นเกล้า
กรุงเทพฯ ในช่วงวันที่ 25 – 27
สิงหาคม 2548 และตามมาอีกหลายๆ เวที
ซึ่งมีทั้งความสำเร็จและที่เป็นบทเรียนมาให้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา
ปัจจุบัน
แม้ว่า ผู้เขียนจะเริ่มชินกับเวทีหรือ Workshop
การจัดการความรู้ มากขึ้น
แต่ก็จะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ต้องทำหน้าที่วิทยากรกระบวนการ
ผู้เขียนต้องพยายามเก็บอาการตื่นเต้น
ต้องมีความมั่นใจและมีสติที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะอยู่ตลอดเวลา
เรียกว่า ตื่นเต้นจนต้อง (ทำเหมือน) กล้า
ยังดีที่ไม่รู้สึกว่าตนเองถูกโดดเดี่ยวหรือถูกลอยแพ
เพราะการทำงานที่ สคส.
เป็นการทำงานและการเรียนรู้แบบกลุ่มหรือทีมงาน โดย สคส.
มีวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทักษะการพัฒนาการทำงานและตนเองในด้านต่างๆ
อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งทักษะการทำหน้าที่เป็นวิทยากรกระบวนการ
ทั้งแบบเป็นทางการ คือ การประชุมประจำสัปดาห์
(ทุกวันพุธตอนเช้า) และแบบไม่เป็นทางการ คือ
การพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเองกับเพื่อนๆ PO
(เจ้าหน้าที่ประสานงานโครงการ) ใน สคส.
ทุกคนไม่เคยหวงหรือกั๊กความรู้และประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดีของตนเองเลย
สิ่งที่ดี คือ ยาชูกำลัง สิ่งที่ไม่ดี คือ
ยาป้องกัน (บทเรียน) สิ่งต่างๆ
เหล่านี้
ทำให้เราเกิดการซึมซับและพัฒนาทักษะเหล่านั้นไปโดยปริยาย
(แต่ปัจจุบันก็ยังทำได้ไม่ดีมากนัก
ต้องพัฒนาเทคนิคและมุขของตนเองอยู่เสมอต่อไปอีก)
ที่สำคัญ
อาจารย์วิจารณ์ และอาจารย์ประพนธ์
เปิดโอกาสให้พวกเราได้คิด ได้ทำ
ได้พูดอย่างเสรีแบบไม่ถูกกดทับด้วยวัฒนธรรมอำนาจและระบบอาวุโส
แม้บางครั้งผู้เขียนจะรู้สึกว่า
ตนเองพูดหรือกระทำอะไรบางอย่างที่คิดว่า ไม่ได้เรื่องออกไปบ้าง
แต่อาจารย์ทั้งสองก็ไม่เคยตอกย้ำซ้ำเติมให้รู้สึกท้อถอย
หรือหมดกำลังใจ อาจารย์ย้ำอยู่เสมอว่า มันคือ
ความคิดที่แตกต่างหลากหลาย
ที่กลายมาเป็นความสวยงามของการทำงานขับเคลื่อนการจัดการความรู้ของ
สคส. และของสังคมไทย
วัฒนธรรมเช่นนี้ ทำให้ทุกคนใน สคส. กล้าที่จะคิด
กล้าที่จะพูด
กล้าที่จะค้านด้วยความมีเหตุผลอย่างสร้างสรรค์
ทำให้ทุกคนซึมซับบรรยากาศการคิดเชิงบวก
คิดอย่างสร้างสรรค์ไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สิ่งเหล่านี้
คือ พลังของการพัฒนาการทำงานของตนเอง
พัฒนาการทำงานขององค์กรอย่างแท้จริง
ผู้เขียนต้องขอขอบพระคุณ อาจารย์วิจารณ์, อาจารย์ประพนธ์,
พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ใน สคส., ภาคีเครือข่าย
และกัลยาณมิตรทุกท่าน ที่ช่วยเติมเต็มและเป็นผู้ให้
(โอกาส) ผู้เขียนได้เรียนรู้
ได้ประสบการณ์ในการพัฒนาตนเองและในการทำงานขับเคลื่อนการจัดการความรู้ของสังคมไทยตลอดมาและคาดว่าจะตลอดไปด้วย
สุดท้าย
แต่คงไม่ท้ายสุด ผู้เขียนหวังว่า การทำงานใน 365
วันต่อจากนี้และปีต่อๆ ไป
คงจะทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้และประสบการณ์ดีๆ
อีกมากมายไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกันกับ 365
วันที่ผ่านมานี้อย่างแน่นอน
นภินทร ศิริไทย
18
เมษายน 2549
บ้านผู้หว่าน นครปฐม