ข้าพเจ้าเคยได้รับ E-mail จากกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ส่งเรื่องราวข้อคิดเตือนใจจากนักจิตวิทยาหรือนักปรัชญาก็แล้วแต่ ที่บอกเล่าว่าเราทั้งหลายนั้น เป็นคนได้ถึง 3 คน 3 แบบ
คนที่ 1 คือเราในสายตาของคนอื่น
คนที่ 2 คือเราในสายตาของตัวเราเอง
คนที่ 3 คือเราที่เป็นตัวเราจริงๆ
ว่ากันว่าทุกวันนี้เราทั้งหลาย ต่างสับสนวุ่นวายกับการเป็นคนถึง 3 คนนี่มาก และเสียเวลาไปกับการปกป้องและสรรสร้างตัวตน ไปตามสิ่งที่ตนคิดเห็น แบบไม่รู้ตัวไม่รู้ตนเอาเสียเลย
หลังจากข้าพเจ้าอ่านเรื่องราวเหล่านี้ ข้าพเจ้ากลับคิดว่า อันที่จริงเราไม่ได้มี 3 คน หรอก เรามีได้และเป็นได้ถึง 4 คนด้วยกัน และนี่คือเรื่องเล่าของคนสี่คนแบบข้าพเจ้าว่า
เราคนที่ 1 คือเราในสายตาของคนอื่น มันขึ้นกับความคิดเห็นของเขาเหล่านั้นว่าจะมองเห็นเราเป็นเช่นไร สิบคนก็คงสิบความคิดเห็น เราจึงเป็นได้ตั้งแต่คนที่ดีที่สุดไปจนถึงคนที่เลวที่สุด แล้วแต่เขาจะรู้จักเราลึกซึ้งแค่ไหน ใช้อะไรตัดสินเรา และเราทั้งหลายก็มักจะเป็นทุกข์กับความคิดเห็นต่างๆนั้น โดยเฉพาะความคิดเห็นในแง่ลบ เรื่องนี้ข้าพเจ้าว่า ธรรมะจากหลวงพ่อชาช่วยได้ หลวงพ่อชาสอนว่า " ถ้ามีใครมาว่าเราเป็นหมา ให้หันกลับมาดูตัวเราว่ามีหางหรือไม่ ถ้าไม่มีก็หมดปัญหา " ท่านสอนสั้นๆแต่ได้ใจความดีแท้ เมื่อไม่ได้เป็นดังว่าหลังจากพิจารณาดูแล้วก็จบ ไม่ต้องแบกสิ่งที่เขาว่ามาทุกข์ เพราะไม่งั้นก็คงเหมือนเราจะไปตามแก้ไขหรือคอยบอกใครๆ ว่าเราไม่มีหางนะ เราจะสูญเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระนี้ แถมถ้าวันไหนมีใครมาว่าเราเป็นควาย เราก็จะต้องคอยไปบอกใครๆว่าเราไม่มีเขานะ เห็นหรือเปล่า..อะไรแบบนี้ แล้วเราคงต้องคอยแก้ต่างความเห็นผิดทั้งหลายร้อยหลายพันอย่าง ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้เป็นดังเขาว่า ... แต่เราเอามาคิดเป็นทุกข์ไปเองกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เราคนที่ 2 คือเราในสายตาของตัวเอง ที่ปรุงแต่งขึ้น เรามักจะสร้างสรรสิ่งต่างๆ เพื่อการนี้ แถมอาจใช้เวลาไปทั้งชีวิตเพื่อสร้างสรรเราคนที่ 2 ขึ้นมา ตั้งแต่การสร้างภาพว่าเราต้องดูดีมีฐานะ ความสำเร็จอาจอยู่ที่ เงิน บ้าน รถ หรือไม่ก็สร้างสรรว่า เราจะดีเลิศอย่างไร เป็นคนดีแค่ไหน มีความสมถะแค่ไหน ใจเป็นกุศลอย่างไร เราคนที่ 2 จึงดีงามเลิศเลอในสายตาและความเห็นของเราเอง และกลายเป็นตัวกูของกูที่ติดแน่นจนแกะไม่ออก แถมเราอาจเสียเวลาทำการทำงานทั้งชีวิตที่จะมีเงินเก็บสักสิบล้าน หรือมีอะไรบางอย่างเพื่อพิสูจน์ Ideal person ของเราที่คิดฝันไว้ข้างต้น บางทีอาจจะไม่ใช่เงินทอง แต่อาจเป็นความคาดหวังที่จะได้รางวัลอะไรบางอย่าง ตำแหน่งอะไรสักอย่าง เพื่อพิสูจน์ยืนยัน ความดีความเลิศที่ว่า บางเรื่องที่เราทำจึงเป็นสิ่งที่มีสาระ แต่บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ไร้สาระเอามากๆเลยทีเดียว
เราคนที่ 3 คือเราที่แท้จริง ...เราที่มีทั้งความดีและความเลว ...เราที่ธรรมดาๆ ไม่ได้ดีกว่าใครๆ เราที่ทำผิดพลาดได้ เราที่รู้จักยอมรับความผิดของตัวเองได้ และพร้อมที่จะเปิดใจและแก้ไขตัวเอง ... การที่จะตื่นรู้ว่ามีเราคนที่ 3 ได้ ข้าพเจ้าว่าเราต้องมาฝึกปฎิบัติในวิชาของพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธองค์สอนให้เราทั้งหลายกลับมาดูกายและใจของเราเอง เมื่อเราตื่นรู้จากการหลับไหล เราก็จะเห็นความจริงแท้ที่ซ่อนเร้นอยู่.... แต่น้อยคนนักที่จะสนใจมาเรียนรู้เรื่องนี้ แต่กลับไปมัววุ่นวายกับการแก้ไขและสรรสร้างบุคคล ที่ 1 และ 2 เหมือนอยู่ในโลกของ Matrix แบบที่หนังฝรั่งว่า
การตื่นรู้เรื่องภายในกายและใจของเราเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต เมื่อเราตื่นรู้เรื่องนี้ขึ้นมา เราจะพบว่า เรานั้นไม่ได้ดีดังที่คิด มันเป็นการถอดหน้ากากตัวเองออกครั้งสำคัญ นี่เป็นภาษาของวัชรยานสายคากิว ที่ข้าพเจ้าว่าตรงประเด็นที่สุด เราต้องถอดหน้ากากของตัวเองออก และเราอาจจะเจ็บปวดบ้างที่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วเราเป็นอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายนักที่จะยอมรับว่า เรานั้นมีความชั่วร้ายซ่อนเร้นอยู่ มีหลายครั้งที่เรามองเห็นความคิดที่ป็นอกุศลผุดขึ้นมา เราอาจจะผิดหวังกับตัวเองครั้งใหญ่...แต่นั่นคือความจริงแท้..แล้วจะนำไปสู่การแก้ไขและเปลี่ยนแปลง
ข้าพเจ้าเองก็ต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น และมีอาการถึงขั้นจิตตกไปหลายครั้ง เมื่อแต่ละวันข้าพเจ้ามองเห็นความคิดอกุศลที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ข้าพเจ้ามองเห็นความชั่วร้ายของตัวเอง มองเห็นความคิดของตัวเองที่ตำหนิติเตียนคนอื่น ...ที่เพิ่งจะดับลงไป ..แล้วก็เกิดขึ้นใหม่.. และเกิดขึ้นซ้ำซากทุกวัน ยิ่งนานวันเข้า ข้าพเจ้าก็พบว่า ตัวเองเลิกสนใจเรื่องความดีความเลวของคนอื่นๆ ไปเสียงั้น แต่กลับมาสนใจความดีความเลวของตัวเองมากกว่า และเริ่มเข้าใจว่า ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเหล่านั้น
ครูบาอาจารย์ทั้งหลายต่างกล่าวว่า จิตเดิมแท้เรานั้นเป็นพุทธะ เมื่อเรามองเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง เราก็จะไม่มีอคติ ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการกีดกัน เพราะเราจะเริ่มยอมรับว่า เรากับเขาก็ไม่ต่างกัน ดีๆชั่วๆ สลับสับเปลี่ยนกันไป เพียงแต่ถ้าเรายอมรับอย่างแท้จริง เราก็จะเริ่มรู้จักที่จะคิดพัฒนาตัวเองอย่างแท้จริง โดยไม่ได้คิดทำเพราะมีคนมาสั่งให้ทำ หรือทำไปเพราะเป็นที่นิยมของคนหมู่มาก แต่ทำไปเพราะเห็นด้วยตัวเองว่าควรทำและควรปรับปรุงแก้ไข ทำไปเพราะเห็นว่าดีมีประโยชน์ต่อชีวิต แต่ไม่ได้ติดว่าทำแล้วจะมีคนว่าดี หรือหวังได้ดีอีกต่อไป....
ที่สุดแล้วข้าพเจ้าก็มีความคิดเห็นไปว่าอันที่จริงแล้วเรามีคนที่ 4 ซ่อนเร้นอยู่
เราคนที่ 4 คือเราที่ไม่มีไม่เป็นอะไร เราที่ไม่มีดีไม่มีชั่ว เราที่กลับไปสู่จิตเดิมแท้ จิตแห่งพุทธะ เราที่ในที่สุดจะรับรู้ว่า ไม่มีอะไรให้ยึดถือ ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน เราที่จะพบว่ากายนี้ก็ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง และจิตนี้ก็ไม่ใช่ของเราอีกเช่นกัน เราที่ไม่มีตัวตนที่แท้จริงให้ยึดถือ เราที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของโลกนี้จักรวาลนี้ ...
แต่ก่อนที่เราจะไปสู่เราคนที่ 4 เราจำต้องตื่นรู้ว่า มีเราคนที่ 3 อยู่ เมื่อเราหาเราคนที่ 3 เจอ.. เราก็จะสามารถกลับไปหาสิ่งที่เราจากมาได้... กลับไปสู่ความไม่มีไม่เป็นอะไรอีกครั้ง
บทความดีมากเลยครับ
ตัวตน คนจริง ยิ่งใหญ่ ในความรู้สึก
....
สุขสันต์วันแห่งรัก ค่ะ :)
สวัสดีรับ
เข้ามาเก็บเกี่ยวครับ...
สวัสดีค่ะ
ตามมาค้นหาคนที่ 3 และ 4 ค่ะ ขอบคุณมากค่ะสำหรับบบทความดีๆ เช่นนี้
หวัดดีค่ะคุณบรรจง , คุณ Poo , น้องสุพัฒน์ , คุณแจ่มใส
ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกันค่ะ