เล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง ตอนที่ 1


กว่าจะถึงวันนี้

    ไม่ได้เข้ามาเสียหลายวัน  อยู่ว่างๆก็เหงาๆเงียบๆอย่างไรพิกล โดยเฉพาะเป็นคนค่อนข้างนอนดึกจนเคยชิน วันนี้ก็เลยเก็บเรื่องเก่ามาเล่าให้เพื่อนฟัง

ขอเขียน เรื่องของตนเองสักสองสามตอน โดยไม่มีวิชาการมาทำให้เครียดปล่อยใจว่างๆ ก็ดีเหมือนกัน

   โดยปกติทั่วๆไปคนจะมองอะไรก็เมื่อเป็นภาพสำเร้จแล้ว มองบ้านเป็นหลังที่ตกแต่งแล้วก็ดูสวยงาม มองสวนที่เขาจัดแต่งแล้วก็ดูดี ภาพสำเร็จที่สวยงามนั้น ลึกลงไปถึงเบื้องหลังจะเห็นว่าต้องใช้ความพยายามประสบการณ์ความอดทน เพื่อให้ได้ภาพที่สำเร็จดังที่ทุกคนเห็น

    บุคคลหลายคนที่ประสบความสำเร็จดูเหมือนจะได้มาง่ายแท้จริงแล้วต้องต่อสู้กับอุปสรรค์มานานับปการ

     ในส่วนของผู้เล่าเองในปัจจุบันจะเห็นเป็นภาพสำเร็จแล้ว  แต่  กว่าจะถึงวันนี้ ได้ผ่านสิ่งต่างๆมามากมาย นับตั้งแต่เกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจนมีพีน้องหลายคน  เวลากินก็ต้องแบ่งกันกิน เวลาเรียนก็ต้องแบ่งกันเรียน การแบ่งกันเรียนก็หมายความว่า ถ้าพี่ได้เรียนน้องก็ต้องหยุดเรียน บังเอิญผู้เล่าอยู่ในข่ายถูกตัดสิทธิ์ ด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการแรก พี่ได้เรียนน้องต้องหยุดเรียน ประการที่ 2 เป็นผู้หญิง ค่านิยม ณ เวลานั้น ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนมาก พออ่านออกเขียนได้ก็พอ

   แต่แม้จะไม่มีโอกาสเรียนในขณะนั้น ก็ไม่ได้คิดน้อยอกน้อยใจ คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้   ชีวิตไม่เคยสิ้นหวัง การแสวงหาโอกาสย่อมดีกว่ารอให้โอกาสมาหา   จุดนี้เองจึงเป็นจังหวะที่ชีวิตผลิกผันเข้ามาแสวงหาโอกาสหาประสบการณ์ จากบ้านเกิดมาด้วยตัวคนเดียว ทั้งที่รู้ว่าเป็นการเสี่ยง แต่สิ่งแวดล้อมสมัยนั้นก็ไม่ร้ายแรงดังปัจจุบัน ผู้คนก็ยังมีน้ำใจต่อกัน

   เข้ามาเริ่มต้นจากศูนย์  คือไม่มีต้นทุนใดๆเลยไม่ว่าจะเป็นข้าวของเงินทองหรือแม้กระทั้งความรู้ เข้ามาทำงานทุกอย่าง รับจ้าง  กรรมกร แม่ค้า และงานอีกหลายๆอย่าที่สุจริต  ประสบการณ์ในการทำงาน ถือเป็นกำไรชีวิต เคยไปสมัครงานตามโรงงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เหตุผลก็คือ ไม่มีความรู้  ประโยคที่มีคนพูดว่า  ''นกไม่มีขนคนไม่มีควมรู้สู่ที่สูงไม่ได้"   เป็นประโยคที่เสริมกำลังใจ ให้แสวงหาความรู้อยู่เสมอ

   แล้ววันหนึ่งก็ได้พบโอกาสและไม่ลังเลเลยที่จะรับโอกาสนั้นไว้ได้มีโอกาสได้เรียนตามคำชักชวนของเพื่อน แม้ว่าอายุจะเลยวัยเรียนไปมาก  ประโยคที่ว่า  "ไม่มีใครแก่เกินเรียน" ทำให้มีกำลังใจขึ้น การเรียนก็เป็นการเรียนแบบผู้ใหญ่ เขาเรียกว่าการศึกษาผู้ใหญ่ เดี๋ยวนี้เรียกย่อๆ ว่า กศน. สมัยนั้นต้องเรียนทุกวัน เวลาสอบก็ต้องไปสอบรวมกันที่สนามสอบใหญ่ และต้องทำคะแนนเฉลี่ยให้ได้ 50 เปอร์เซ็น หากทำไม่ถึงก็ต้องเรียนใหม่ก็เริ่มเรียน ตั้ง แต่ ป.5-ป.7 และม.1-ม.3ตามโครงสร้างใช้เวลาเรียน 3 ปี เวลาไปเรียนก็มีความกดดันมาก คือเวลาเดินออกจากบ้านก็จะมีคนมองแล้วก็ล้อเลียนทุกวันว่านักเรียนโข่งบ้าง โตแล้วเพิ่งไปเรียน ก ขอ ก กา ก็อายมากนะแต่ก็ต้องข่มใจ อดกลั้นอดทนนอกจากถูกกดดันด้วยวาจาและสายตาที่ล้อเลียนยังถูกกดดันในเรื่องของการใช้ชีวิตระหว่างที่เรียนให้ได้ บังเอิญโชคดีตรงที่ว่ามีผู้ใหญ่ใจดี ให้ที่อยู่และทำงาน ด้วยความเกรงใจก็เสนอว่าจะทำงานให้โดยไม่รับค่าจ้าง โดยขอเวลาช่วงเย็นไปเรียนเพื่อจะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน ยังระลึกถึงผู้ใหญ่ใจดีอยู่เสมอ มีเรื่องเล่าไม่เป็นสาระนิดๆหน่อยๆอยากจะเล่าให้ฟัง  บางครั้งเวลาไปเรียน การที่ผู้เล่ามีเงินค่อนข้างจำกัดและต้องใช้ให้ได้นานที่สุด เวลาขึ้นรถไปโรงเรียน ก็ต้องขึ้นรถคันที่แน่นๆ แล้วก็เล็งให้ดีดูว่ากระเป๋ารถอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง ถ้ากระเป๋าอยู่หน้าก็จะขึ้นข้างหลังถ้ากระเป๋าอยู่หลังก็จะขึ้นข้างหน้ากว่ากระเป๋าจะมาถึงก็ลงป้ายที่ต้องการ ถ้าบางวันโชคไม่ดีก็ต้องลงแล้วขึ้นคันใหม่กว่าจะถึงบ้านเล่นเอาเหนื่อย ก็สนุกดีนะตอนนั้น แต่ขอบอกว่าอย่าลอกเลียนแบบ มันไม่ดีเลยใช้เวลาเรียน 3 ปี  อายุก็ปาเข้าไป 24 ปี ก็ถือเป็นชัยชนะ ชนะใจตนเองที่มีความมุ่งมั่นในการแสวงหาความรู้

                    ขอพักก่อนไปต่อตอนที่ 2 นะคะ

                                                 ลัดดา  พวงชะบา

หมายเลขบันทึก: 241287เขียนเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2009 20:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 05:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท