Ohh!! ลดอัตตา (self-less) ที่เป็นตัวตนของตนเองให้น้อยลง
ดีจังเลย คุยกันถึงเรื่องนี้ด้วยหรือคะ??
คุยว่าอย่างไรบ้างคะ ??? เสียดายไม่ได้ฟัง.....
เค้ายังไม่ได้คุยกันเลยครับอาจารย์
จะคุยกันวันที่ 11 มีนาคมนี้ครับ
สนใจลองไปฟังดูได้ครับ
ผ่านไปแล้ว งานรังสีที่ปราถนา
เท่าที่ไปฟังมาไม่เห็นเหมือนบทคัดย่อที่อาจารย์ว่าไว้เลย
มองไม่เห็นการลดอะไรต่างๆอย่างอาจารย์ว่าไว้เลย หรือเราไม่เข้าใจที่นำเสนอ
น่าจะมีการพูด
การนำ lean ไปใช้กับระบบการให้บริการทางรังสีวิทยา
input ---pocess-----output ----
Lean กับระยะเวลารอคอยฟิล์มเอกซเรย์
Lean กับระยะเวลารอผลการอ่านฟิล์มของแพทย์
Lean กับระยะเวลาการนัดตรวจพิเศษทางรังสีม CT
ฯลฯ
ตั้งใจมากที่จะได้เห็น Staff talent แต่เลือนลางมาก
สิ่งที่พูดคุยกันนั้น ผมยอมรับว่าเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างกระจัดกระจายไปนิด แต่ก็ได้พยายามบีบให้ลำความคิดต่างๆเข้าประเด็นให้มากที่สุด อาจทำให้ชาวเราจับประเด็นได้ยากไปบ้างต้องขออภัยด้วยครับที่ทำหน้าที่ไม่ดี
แต่ที่มองเห็นอย่างหนึ่งซึ่งเวลาน้อยไปและไม่มีโอกาสได้สรุปคือ ประเด็นต่างๆนั้น สามารถพัฒนาขึ้นเป็นหัวข้อโครงงานวิจัยได้เลยนะครับ สำหรับชาวเราที่ยังนึกไม่ออกว่าจะเล่นเรื่องใด (เล่นคือเอาจริงกับเรื่องนั้นให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์) ข้อยกตัวอย่างเช่น
การลดเวลาการรอคอย สมมติว่า มีคนไข้มาเอกซเรย์ ตั้งแต่ต้นจนเสร็จ ใช้เวลากี่วัน กี่นาที และเราจะลดเวลาลงได้อย่างไร เท่าไร เราจะรับประกันเรื่องเวลาให้กับคนไข้ได้ไหม เราจะทำ X-fast ได้ไหม เราจะให้ผู้ป่วยเข้าคิวรอรับบริการทางรังสีเป็นเดือนต่อไปหรือจะหาทางลดการรอคอยตรงนี้ลงและจะทำอย่างไร
ลดการสะสมวัสดุคงคลัง ในแผนกเอกซเรย์ เราจำเป็นต้อง มีวัสดุไว้ใช้งาน ได้แก่ ฟิล์ม น้ำยาล้างฟิล์ม สารทึบรังสี ฯลฯ เราจะต้องมีสิ่งของเหล่านี้ในสต็อกเท่าไรจึงจะพอเหมาะ คือจะใช้เมื่อไหร่ก็ใช้ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องมีมากเปลืองที่เก็บและเสียดอกเบี้ยกับการที่ต้องซื้อมามากๆแต่ยังไม่ได้ใช้ วันหมดอายุก็เป็นปัญหา เราจะหาคำตอบตรงนี้ได้ไหม
ลดอัตตา ทำอย่างไร เป็นนามธรรมเหลือเกิน แต่ตัวนี้เป็นตัวร้ายครับ ทำให้เกิดสารตะกั่วในความคิด แล้วทำให้งานต่างๆที่ควรจะเดินหน้าไปชะงักหมด ถ้าอัตตาสูงก็ยิ่งมีตะเข็บมีรอยต่อ จะพูดจะสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานก็ไม่ทำ แต่ถ้าลดตัวนี้ได้ก็จะนำไปสู่การไร้รอยต่อ (seamless) ความร่วมมือเกิดสูง งานดำเนินไปได้ดี ผลลัพธ์ออกมาดี เรียกว่า happy ทุกฝ่าย
....................ฯลฯ
ประเด็นเหล่านี้ เป็นตัวอย่างนะครับ ชาวเราหลายคนอาจมีมุมมองที่แจ่มชัดมากกว่านี้ ทุกๆที่สามารถทำเรื่องทำนองนี้ได้ และมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันครับ จะเป็นประโยชน์มาก อันนี้เป็น tacit knowledge จริงๆจากชาวเรา ที่บอกว่าเป็น Staff Talent ไงครับ
ผมมีความคิดดีๆมาฝากอีกครับ ส่งมาจากชาวเรานี่แหละ ลอง click เข้าไปอ่านครับ
ผมได้รับข้อคิดเห็นจากชาวเรา (คุณธนากร อภิวัฒนเดช) ส่งมาเห็นว่า น่าจะเป็นประโยชน์ครับ เลยข้ออนุญาตคุณธนากร นำมาเผยแพร่ ซึ่งคุณธนากรก็ได้อนุญาตแล้วครับ................หรือ click
งานรังสีเทคนิคที่ปรารถนา ตามความเห็นของผู้เขียนอาจมองได้จาก 3 มุมมอง
1)มุมมองจากผู้ป่วย ย่อมต้องการความรวดเร็ว ความถูกต้อง และการเอาใจใส่
2)มุมมองจากผู้บริหาร ย่อมต้องการประสิทธิภาพจากการทำงาน(Productive)ความประหยัดและคุ้มค่า(Cost effective)
เราอาจสนองความต้องการของทั้ง 2 มุมมองนี้ได้ด้วยการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้กระบวนการ CQI เป็นเครื่องมือเข้ามาจัดการ
3)ที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงคือ มุมมองที่ 3 มุมมองจากตัวนักรังสีฯ เอง ซึ่งก็คงเหมือนกับปุถุชนทั่วไปที่ต้องการความภาคภูมิใจ และการยอมรับนับถือจากทีมสุขภาพในสาขาวิชาชีพอื่นอย่างเท่าเทียมกัน เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของการไร้รอยต่อ(seamless)ของทีมสุขภาพ
การที่นักรังสีฯ จะบรรลุความต้องการนี้ได้ ต้องเริ่มต้นที่ตัวนักรังสีฯ ก่อนเป็นอันดับแรก นั่นคือ นักรังสีฯ ต้องทำงานตามมาตรฐานและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอย่างเคร่งครัด โดยสรุปคือ
1)Right thing & Right practice การทำสิ่งที่ถูกต้อง – อย่างถูกต้อง นักรังสีฯ ต้องทำงานด้วยความรอบคอบ รัดกุม ไม่ให้เกิดความผิดพลาดในทุกขั้นตอนของการทำงาน การทำสิ่งที่ถูกต้อง เช่น เรียกผู้ป่วยถูกคน , ตรวจถูกคำสั่ง , ใส่ marker ทุกครั้ง , ซักประวัติผู้ป่วยก่อนให้ยา ฯลฯ การทำอย่างถูกต้อง เช่น จัด position ถูกต้อง , ตั้ง exposure ถูกต้อง , ใส่ marker ถูกต้อง ฯลฯ
2) Safety การเอาใจใส่ในเรื่องความปลอดภัยทั้ง การป้องกันรังสี (radiation protection) และ การป้องกันการติดเชื้อ (universal precaution) ทั้งกับผู้ป่วยและผู้ร่วมงาน
3) Patient care & Patient right การเอาใจใส่ผู้ป่วยอย่างจริงใจเสมือนผู้ป่วยเป็นญาติของเรา
4) Equipment ดูแลเครื่องมือและอุปกรณ์ ที่เป็นเครื่องมือหากินของเราอย่างเอาใจใส่ ทนุถนอมให้พร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทนทาน มีการทำ calibration ตามกำหนดอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ นักรังสีฯ ยังต้องพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่างๆ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ (solving problem and decision making skill) ทั้งนี้เพราะนักรังสีฯ เรามีจุดอ่อนในข้อนี้เป็นอย่างมาก บางเรื่องกลายเป็นปัญหาใหญ่โตเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด หรือไม่กล้าตัดสินใจ หรือไม่อยากเป็นผู้ตัดสินใจ ปล่อยให้เป็นภาระของผู้อื่น บ่อยครั้งที่ไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กระทำหรือไม่กระทำกำลังจะกลายเป็นปัญหา ถ้าลองไปทบทวน incident ในแผนกของท่าน ก็จะมีตัวอย่างให้ท่านศึกษามากมาย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นักรังสีฯ จำนวนมากจะได้ปฏิบัติตามที่กล่าวข้างต้นแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคประการหนึ่งก็คือ “อัตตาและค่านิยม” ของทีมสุขภาพ ที่อาจบั่นทอนกำลังใจของนักรังสีฯ แต่ผู้เขียนยังยืนยันว่า นักรังสีฯ ต้องหนักแน่น และทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่เพราะมี พรบ โรคศิลปะมาบังคับ แต่ทำเพราะสำนึกในความรับผิดชอบและศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพของตน ต้องแสดงความเป็นมืออาชีพของนักรังสีฯ ให้ปรากฏ ให้เป็นที่ยอมรับนับถือจากผู้อื่นอย่างสมศักดิ์ศรีให้ได้ ในขณะเดียวกัน “อัตตาและค่านิยม” ของนักรังสีฯ ด้วยกันเอง ก็ทำให้หลายๆ เรื่องกลายเป็นรอยต่อ (seam) ในงานรังสีของเราเองได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น นักรังสีฯ คงต้องเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความสามารถ ความสำคัญ และความต้องการของกันและกันให้มากขึ้น เช่นเดียวกับที่เราต้องการให้ผู้อื่นแสดงกับเรา
ผู้เขียนมั่นใจว่า ไม่ว่าจะเป็นงานรังสีเทคนิคที่ปรารถนาทั้ง 3 มุมมอง , seamless and lean หรืออะไรก็ตามที่ระบบคุณภาพต้องการ นักรังสีฯ มีศักยภาพพอที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้บรรลุได้หากมุ่งมั่นตั้งใจ และทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด
ทุกครั้งที่ผมกลับมาทบทวน บทบาทหน้าที่ ภาระของนังรังสีที่ตนเองปฏิบัติมากว่า 30 ปี ผมจะมาหยุดที่ บทความนี้ของอาจารย์ มันทำให้ผมย้อมมองเห็นตัวเองในอดีตได้ชัดเจน วางปัจจุบัน และกำหนดอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
ขอบคุณมากครับ