การบริหารที่ส่งเสริมการทำงานด้วยอุดมคติ (๑)
เมื่อเกือบสองเดือนมาแล้ว คุณปารณัฐ แห่งสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ (หมอโกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ เป็นผู้อำนวยการ) มาสัมภาษณ์ เรื่องการบริหารจัดการที่ส่งเสริมการทำงานด้วยอุดมคติ เธออัดเทปเอาไปถอดแล้วส่งมาให้ตรวจ ผมเห็นว่ามีส่วนที่คุยกันลงไปลึกมาก จึงนำมาฝาก เตือนว่าเป็นคำสนทนา อาจวกไปวนมาบ้าง เนื่องจากยาว ๑๑ หน้า จึงแบ่งเป็น ๒ ตอน
คำถาม/
เรื่องบริหารจัดการในสภาพปัจจุบันโดยเฉพาะทางการแพทย์
อาจารย์มองว่ามีปัญหาที่สำคัญ ๆ
อะไรบ้าง
อาจารย์/
ประเด็นที่มาคุยคือเรื่องอุดมคติ
การทำงานตามอุดมคติอย่างนั้นรึเปล่า
คำถาม/
เดิมโจทย์ที่หมอโกมาตรให้มาจะมาสัมภาษณ์อาจารย์ตั้งแต่แนวคิด
ว่าแนวคิดที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันมีแนวคิดอะไรบ้าง
แนวคิดด้านบริหารจัดการ
ที่คิดทำให้เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ของวิชาชีพทางการแพทย์
อาจารย์/
แนวคิดที่ทำให้คนต้องทำอะไรหลอก ๆ ทำแบบสร้างภาพ แบบผักชีโรยหน้า
ก็เป็นอุปสรรค คืออันนี้ไม่ใช่แค่แนวคิดแต่เป็นวัฒนธรรม
เช่นว่าพอมีผู้ใหญ่ไปตรวจก็จะต้องหาอะไรต่ออะไรมาให้ดู ผู้ใหญ่ในหลาย
ๆ กรณีก็จะรู้ว่าที่จริงถ้าพูดกันแรง ๆ ก็คือโดนต้ม
ถ้าหากว่าลูกน้องไม่เอาผลงานอะไรมาให้ดี ๆ
ผู้ใหญ่อาจจะรู้สึกว่าลูกน้องคนนี้มันใช้ไม่ได้
คือเวลาเรามองเรื่องพวกนี้อย่ามองแค่จุดเดียวหรือสองจุด
แต่ต้องมองหลาย ๆ จุดพร้อมๆ กัน
เวลาที่ผู้ใหญ่ไปตรวจราชการถามว่ามีใครไปบ้าง
ก็มีผู้สื่อข่าวไปด้วยเพื่อตีฆ้อง ว่าได้มาตรวจแล้วและฉันมีผลงาน
ก็คือลูกน้องเอาผักชีมาให้
ถ้าลูกน้องไม่เอาผักชีมาเจ้านายก็เสียหน้า
เพราะว่ามีผู้สื่อข่าว
และลงท้ายก็หลอกกันหลายชั้น
คือประเพณีนี้เป็นตัวสร้างให้เกิดวัฒนธรรมแบบผักชีโรยหน้า
ความชั่วจะอยู่ที่ตัววัฒนธรรม
จนกระทั่งในที่สุดคนที่มาเป็นข้าราชการต้องมาปรับตัวให้อยู่กับวัฒนธรรมที่หลอก
ๆ จนอายุเข้า 40 ปีที่ทำงานมา 18 ปีหรือ 20 ปี
ก็จะซึมซับอยู่ในสายเลือดเลยในวัฒนธรรมหลอก ๆ
คำถาม/
แม้แต่ในวิชาชีพทางการแพทย์เองก็ต้องปฏิบัติไปตามวัฒนธรรมแบบนี้
อาจารย์/
วิชาชีพทางการแพทย์อาจจะน้อย
แต่ผมก็เจอในการทำงานของผมว่าเวลาจะทำอะไรคนจำนวนหนึ่งเขาจะเอาของที่ดูดี
(แบบหลอกๆ) มาให้เรา
เพราะเขารู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่
เมื่อเป็นอย่างนี้ผู้คนเข้ามาทำงานในสภาพอย่างนี้เขาไม่สามารถสร้างสรรค์ให้เกิดอุดมคติได้
เพราะว่ามันหลอกกันหมด ผมเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมหลอก ๆ
ที่แรงมากในสังคมเราและมีมานานมาก และก็โยงไปหมด
พอมาถึงยุคนี้เป็นยุคกระตุ้นให้ต้องมีการทำงานไวมีผลงานไว
มีประสิทธิภาพในการทำงาน และมีการสัญญาเป็นทอด ๆ
ต้องการเห็นผลงานเร็ว
ผมคิดว่าความต้องการในรัฐบาลนี้เนื่องจากว่าท่านนายกฯ
เป็นคนไวและมีวัฒนธรรมของภาคธุรกิจเข้ามา ถ้ามองด้านดี แน่นอน
เป็นตัวกระตุ้น
คำถามคือว่ามันกลายเป็นการทำงานเพื่อที่จะให้ผ่านการประเมินก็ต้องเร็ว
เป็นการทำงานที่เรียกว่าให้ได้ผลงานในลักษณะที่ผิวเผิน
ที่อ้างเป็นผลงานได้ นับได้ มีปริมาณ
แล้วเป็นอุปสรรคว่าใครที่ต้องการทำงานแบบลึกและเห็นผลระยะยาวจะทำยาก
ในยุค 5 ปีนี้จะมีมาก จากการสังเกตจากข้าราชการหลาย ๆ
หน่วย
และหน่วยของสาธารณสุขเราก็ไม่ได้ต่างจากที่อื่น
ขณะนี้ใครจะเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนต้องได้ปริญญาโท
ใครจะมีตำแหน่งเลื่อนตำแหน่งจะต้องเป็นคนจบปริญญาโทใช่ไหม
คือไปเอาฐานานุภาพเอากระดาษเป็นตัวปรับ ไม่เอาโยงกับงาน
ก็จะมีสภาพที่ว่าคนจะต้องทิ้งงานเพื่อที่จะไปสร้างฐานะทางกระดาษของตัวเอง
ก็เท่ากับว่าไม่ได้ทำงานเพื่องาน
อุดมการณ์คือต้องทำงานเพื่องาน
แล้วต้องให้การทำงานเพื่องานนั้นเขาได้การเลื่อนขึ้นไป
แต่สภาพจริงของเราขณะนี้ตรงกันข้าม คือต้องมีกระดาษ
สายที่ทำงานเพื่องานทำไม่ได้เพราะไม่มีปริญญาโท
คิดว่าจะเป็นตัวอุปสรรคเป็นสิ่งที่ทำให้เรายึดอยู่กับอุดมการณ์อุดมคติไม่ได้
และอีกอันที่โยงไปเป็นประเด็นที่ 4 คือว่าโยงกับเรื่องงาน
อุดมการณ์คือเรื่องงาน เรื่องประโยชน์ของสังคม
เรื่องประโยชน์ของหน่วยงาน ประโยชน์ของหน่วยงานที่ใหญ่ขึ้น
ประโยชน์ของไม่ใช่แค่วิชาชีพแต่เป็นองค์กร และใหญ่กว่าองค์กรไปอีก
คือประเทศ หรือสังคม ไปถึงมนุษยชาติ
เวลาเราประเมินว่าเราต้องการทำงานให้เกิดประโยชน์อย่างนั้น
และประเมินว่าจะได้ผลอย่างนั้นหรือไม่
เราก็จะประเมินภาพรวม
และโดยทั่วไปจะประเมินว่ามันมีปัญหาแค่ไหน
ผมว่าวิธีคิดแบบนี้ เป็นตัวปัญหาในตัวของมัน
ทำให้คนทำงานเพื่ออุดมคตินี้ได้ยาก
คือผมคิดว่าควรจะคิดตรงกันข้าม
เวลาเราจะพิจารณาเรื่องงานผลงาน เราควรมีอีกมุมหนึ่ง
ซึ่งจริง ๆ ควรใช้ทั้งสองแนวทาง
(แต่ขณะนี้เราใช้แนวทางเดียว คือแนวหาปัญหา) คือ
ทางใหม่ที่ผมว่าซึ่งควรจะใช้และควรจะเป็นทางใหญ่ คือ
60-70%ของทั้งหมด คือประเมินหาความสำเร็จ
ดูว่าคนนี้ในที่ทำงานในสัปดาห์นี้ เดือนนี้ หรือในปีนี้
เขามีความสำเร็จอะไร เป็นความสำเร็จที่เรียกว่าน่าจะภูมิใจได้
น่าที่จะให้เขาเล่าให้คนอื่นฟังว่าความสำเร็จอันนี้เกิดขึ้นได้เขาทำมาอย่างไร
เขาคิดอย่างไร เขาเชื่ออย่างไร เขาได้ทดลองอย่างไร
ได้เคยผิดพลาดมาอย่างไร จนเกิดความสำเร็จ
อย่างที่นี่ (สคส.) เราทำความสำเร็จเรามีความสำเร็จทุกวัน
ทุกคนมี (ความสำเร็จ) ทุกวัน
และมีทุกเรื่องที่ทำงาน และจะมา AAR คือ After Action
Review จับภาพกันว่าคนนี้มองเห็นความสำเร็จตรงไหนอย่างไร
แล้วเราก็จะเห็นว่าในการทำงานมันมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น
มีสิ่งที่น่าภูมิใจเกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นสัญชาตญาณด้านดีของมนุษย์
คือตรงนี้เป็นจุดสำคัญในการทำงานเพื่ออุดมคติ
โดยมองว่าอุดมคติมันไม่ได้ลอยอยู่โดดๆ
และไม่ใช่สิ่งที่อยู่ ๆ จะเกิดได้
มนุษย์เรามีทั้งด้านดีและด้านชั่ว
แล้วแต่ว่าใครจะดีด้านไหนชั่วด้านไหน ในชีวิตประจำวัน
ชีวิตการทำงาน
ไม่ได้ถูกกระตุ้นหรือได้รับการเปิดโอกาสให้ด้านดีเติบโตแล้วก็อย่าให้โอกาสด้านชั่วได้เติบโต
เป็นการช่วยเหลือคนทุกคนให้สามารถที่จะเบ่งบานด้านดี
เบ่งบานโดยการกระตุ้นซึ่งกันและกัน คือการมาทำ After Action
Review มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน มาชื่นชมมายินดีกัน
ในสายตาคนอื่นว่างานอันนี้ดีตรงนี้
ก็จะทำให้ตัวอุดมคติอุดมการณ์เติบโตได้
และสิ่งที่เป็นด้านลบก็จะอ่อนแอลงไป
ทำต่อเนื่องเป็นกิจวัตร 5 ปี 10
ปีก็จะเป็นนิสัยฝังรากเป็นนิสัย ทำไปนาน ๆ
หลายปีก็จะเป็นวัฒนธรรมองค์กร
ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดเพราะเกิดขึ้นได้ในตัวบุคคล เกิดขึ้นภายในกลุ่ม
ภายในองค์กร และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน และทุกกิจกรรมทุกเรื่อง
ความรู้สึกความคิดอันนี้เกิดขึ้นจาก 3 ปีที่มาทำ สคส.
มันเดินด้วยด้านบวกโดยที่เราคำนึงว่าจริง ๆ ก็มีด้านลบอยู่ด้วย
เราไม่ต้องยุ่งกับมัน (ด้านลบ) มาก
แต่ต้องคอยระมัดระวังว่าอย่าให้ตรงนั้นมาเป็นตัวครอง
ความสำเร็จจะมาเป็นปุ๋ยให้ด้านบวกให้โตอีก
และคนทำงานก็มีความสุขและความสัมพันธ์ระหว่างกันดี
มีความเคารพระหว่างกัน
ความรู้ปฏิบัติมันไม่ได้เป็นก้อนแยกๆ
แต่เป็นก้อนที่รวม หรือความรู้บูรณาการ
แต่ก้อนรวมพูดหรือเขียนออกมาเป็นความรู้ไม่ได้
มันต้องออกมาเป็นเหตุการณ์
คำว่าความรู้ต้องนิยามหลายแบบ
พวกเราจะคุ้นกับความรู้ที่แยกส่วน
คำถาม/
ตอนนี้ที่อาจารย์พูดไว้ว่าเราเน้นผลงาน
และผลงานตอนนี้จะเป็นผลงานแบบงานเปเปอร์ งานวิชาการ
ที่เป็นผลงานเป็นชิ้น ๆ จะต้องทำให้เสร็จ
แล้วอาจจะมีรายได้เพิ่มหรือว่าได้รับความชื่นชมไปหาความดีหรือความสุขใจจากข้างนอก
ซึ่งอันนี้อาจารย์คิดว่าวิธีการที่จะแก้ตรงนี้ได้ค่ะ
อาจารย์/
ก็เน้นรายงาน จนกระทั่งในที่สุดคนก็จะทำแต่รายงาน ก็ไม่ได้ทำงาน
ก็ผิดเจตนารมณ์ เป็นการตีความผิด
ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันนี้บางหน่วยงานเขาก็ไม่เสียเวลากับรายงานมาก
เพราะว่าเขารายงานตามที่เขาทำงาน แต่พวกหลอก ๆ ก็จะเอาแต่รายงาน
ไม่ทำงาน คือภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคนตีความอย่างหนึ่ง
ก็ไปเน้นรายงาน แต่คนตีความอีกอย่างก็จะเน้นทำงาน
ก็คือขึ้นอยู่กับการตีความ
แต่ในขณะเดียวกันผมคิดว่าตัวท่าทีของผู้ที่จะเอารายงานนั้นไปใช้ก็สำคัญด้วย
เราเห็นเลยว่าภายใต้เงื่อนไขอันเดียวกัน
มีหน่วยงานที่ทำงานเต็มที่ไม่กังวลกับรายงาน
กับหน่วยงานที่ทำงานห่วยมากแต่รายงานดี
ก็ไปเน้นรายงาน
คำถาม/
อาจารย์เชื่อมตรงนี้
ก็มาเชื่อมกับสิ่งที่อาจารย์นำเสนอได้ว่าทำให้เรื่องของความดีความสุข
เป็นเหมือนวัฒนธรรมขององค์กร
สิ่งภายนอกที่มากระตุ้นมาจูงใจได้ใช่มั้ยค่ะ
อาจารย์/
คงตอบไม่ได้ว่าใช่หรือไม่ คือคำตอบแบบนี้ตอบง่ายว่า
ทั้งใช่และไม่ใช่ เพราะว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยเดียว
ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เยอะมาก
ในบางกลุ่มในบางสถานการณ์ก็ใช่ แต่บางสถานการณ์ก็ไม่ใช่
ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยต่อไปอีก
คือเรากำลังพูดเรื่องที่ซับซ้อน
มีใช่และไม่ใช่อยู่ด้วยกัน
มีดำกับขาวอยู่ด้วยกัน
ต่อตอนที่ ๒
ไม่มีความเห็น