เป็นแล้วไง? ยังไงก็ต้องรักษา !
ยากมากกับการโน้มนาวจิตรใจให้หายกลัว เพราะอะไรมันน่าจะมาจากไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ
ฟังมาผิดๆ ถูกๆ ทำให้คิดไปเอง สิ่งที่น่ากลัวกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง คือความคิดเราเองโดยเฉพาะ
ความคิดที่ไม่รู้จริง เอาละจะมาเรียบเรียงต่อว่าหลังจากรู้แล้วทำอะไรต่อไปอ้อลืมพูดถึงอาการ
อาการเบื้องต้น ณ วันนั้น 07-12-2551 (ไม่ได้เห็นเองแกอายแกไม่ยอมให้ดูน้องสาวได้เห็นเป็นคนบอก)
จุดที่ 1 มีลักษณะแดงเป็นวงยกขอบผิวบริเวณในวง ไม่นูนแต่กลับเรียบ ตรงกลางวงเป็นแผล
จุดที่ 2 มีอาการบวมแดงแต่เป็นลูกเล็กๆ ไม่โต
ไม่มีอาการเจ็บ มีแต่อาการตึงๆ รั้งๆเล็กน้อย อาการอื่นไม่แน่ชัด เพราะแกบอกว่า ไม่มีอาการอื่น
แต่ถ้ายกของหนักก็จะเจ็บตึงมากขึ้น
คราวนี้เราก็ใจไม่ดี จะให้เข้ากรุงเทพฯซะเดี๋ยวนั้นเลย แต่แกก็ยังงอแง อีกมากมาย ตัวเราเองก็ยังไม่รู้เรื่อง
การรักษา(ไม่มีความรู้ในการรักษารู้แค่เรื่องทั่วๆไปของมะเร็ง) จะอธิบายให้แกเข้าใจก็ไม่ได้ ก็เลยต้องขู่ไว้
ว่าให้เวลา 15 วันให้เตรียมตัวเข้ากรุงเทพฯ หลังจากนั้นเราก็เข้ากรุงเทพฯ กลับมาถึงใช้เวลา 1 วันในการ
หาข้อมูลเพื่ออธิบายให้แกเข้าใจ ถึงการรักษา และขั้นตอนในการรักษา ความเสี่ยงต่อการเมินเฉยที่จะเข้า
รับการรักษา โดย
1. หาข้อมูลการรักษาจากอินเตอร์เน็ท
ข้อมูลที่ได้ก็คือ
- การวิเคราะห์ระยะของโรค
- ขบวนการรักษา
2. โทรติดต่อขอข้อมูลขบวนการรักษา จากโรงพยาบาลต่าง ๆ
3. อธิบายลำดับการเจริญเติบโตของโรคให้แกฟังให้เข้าใจว่ามันเป็นมาแบบนี้ และต่อไป
มันจะเป็นอย่างไร และอันตรายแค่ใหน (ตามข้อมูลที่เราหามาได้(ต้องถูกต้องนะ))
4. อธิบายขบวนการรักษาให้แกฟังคร่าวๆ (อย่าเพิ่งเล่าฉากหวาดเสียวล่ะ) เล่าให้ฟังเหมือนมันเป็น
เรื่องเล็กๆ น่ารำคาญมากกว่าน่ากลัว(เรื่องจริงตายได้แบบง่ายๆเลยละ่) พยายามเล่าให้ฟังเหมือนว่า
ใครๆเค้าก็เป็นกัน และรักษาหาย (เพราะกำลังใจและความหวังสำคัญมากเท่าๆกับยารักษา) ต้องให้
แกมีความหวังเสมอว่าแกต้องหาย หลังจากนั้นก็ดำเนินการส่งตัวรักษาได้เลย
ติดตามต่อขั้นตอนส่งตัวรักษา...............................................................................................
ไม่มีความเห็น