เราอาจเข้าใจธรรมจากการศึกษามามาก แต่อาจไม่ได้ซึบซาบไปซะทั้งหมด
การเข้าใจจากการศึกษา กับ เข้าใจจากการปฏิบัติอย่างไรก็แตกต่างกัน
สิ่งใดที่หากเริ่มปฏิบัติจะทำให้พัฒนาธรรมไปได้เรื่อย ๆ เห็นว่ามีสองสิ่งดังนี้
สิ่งแรก - ต้องปฏิบัติด้วยความซื่อตรงไม่เข้าข้างตัวเอง เมื่อทำสิ่งไหนไม่ดีไม่ถูกต้อง นึกคิดสิ่งไหนที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควร ก็ไม่หาเหตุผลปรุงแต่งแก้ต่างในใจ ต้องยอมรับต่อความบกพร่องเพื่อเร่งปรับปรุง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมอภัยให้กับความผิดพลาด
สิ่งที่สอง - มองแต่ละสิ่งแบบครอบคลุมทั้งกระบวนการ เช่น
อาหารนั้นไม่ว่าจะรสชาติอร่อย หน้าตาน่ากินแค่ไหนในเบื้องต้น .. แต่สุดท้ายเมื่อเข้าปากเคี้ยวแล้วก็เป็นของน่ารังเกียจ เมื่อทิ้งไว้ก็เน่าเสีย ขับถ่ายออกมาก็ไม่มีใครอยากมอง
ร่างกายชีวิตของเราก็ไม่ต่างกัน วงจรของทุกคนโดยสมบูรณ์เท่ากัน คือเกิดมาแล้วก็ต้องตายในสักวัน
หากมองให้ได้ถึงปลายสุดของแต่ละสิ่ง อย่างไม่เข้าข้างเอาเฉพาะส่วนน่าชม ก็ย่อมเห็นว่าทุกสิ่ง ล้วนเกิด .. เปลี่ยนแปลง .. และดับไป เหมือน ๆ กัน
เมื่อได้ทำทั้งสองสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่เห็นว่าการพัฒนาธรรมให้สูงขึ้น จะยากกว่าที่เข้าใจไปได้อย่างไร
--------------------------------------------------
เคยได้ยินใครสักคนพูดว่า "ฉันดีพอแล้ว"
และอีกคนพูดว่า "ฉันยังดีไม่พอ"
ความคิดเห็นคงต่างกันไปตามตัวแบ่งคุณความดีของคนพูด
กระนั้นบางท่านก็ให้มองคุณค่าจากบรรทัดฐานของตัวเอง อย่าไปเปรียบกับคนอื่น
หรือบ้างก็ให้มองตามบรรทัดฐานของศาสนา
นอกจากนี้ .. ความสนใจก็มีส่วนชี้นำเราด้วย เช่น
ถ้าเราสนใจด้านจิตใจน้อย ก็อาจเห็นว่า เมื่อไม่ได้ฆ่าคน ไม่ทำร้ายใคร ไม่โกงชาวบ้าน นี่แหละฉันดีแล้ว
ถ้าเราสนใจด้านจิตใจมากกำลังดี ก็อาจเห็นว่า รักษากายวาจา ไม่ให้ใครเดือนร้อน เมตตา ทำบุญ ทำทาน นี่หละดีนัก
ถ้าเราสนใจด้านจิตใจมากเป็นพิเศษ ก็จะเห็นว่า นอกจากรักษากายวาจา ให้สำรวมเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องระวังใจด้วย เช่น ต้องกำจัดความคิด ความรู้สึก และอารมณ์อันไม่ดีให้สิ้นไป นี่แหละดีที่สุด
........กระนั้นหากกล่าวว่า มนุษย์ผู้ไม่ดิ้นรนแล้ว นั้นดีที่สุด จะถูกไหมหนอ
เมื่อใจนิ่งสงบแล้ว จะต้องดิ้นรนหาสิ่งใดเล่า
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ