ช่วงนี้เริ่มสนใจเกี่ยวกับสารอาหาร วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยดูแลสุขภาพ เลยอยากมาแบ่งปันกันค่ะ หากใครมีข้อมูลน่าสนใจก็มาร่วมกันได้นะคะ
น้ำมันปลา : Fish Oil
ความมหัศจรรย์ของน้ำมันปลา
ปัจจุบันนี้ วงการแพทย์หันมาสนใจถึงความมหัศจรรย์ของน้ำมันปลามากขึ้น
หลังจากที่พบว่าชาวเอสกิโมกรีนแลนด์และชาวญี่ปุ่น
มีอัตราการตายจากโรคหัวใจขาดเลือดต่ำกว่าชนชาติอื่นๆ
เพราะรับประทานเนื้อปลาทะเลเป็นอาหารหลัก
สารประกอบสำคัญของน้ำมันปลา
น้ำมันปลา เป็นสารประกอบของกรดไขมัน ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้
ซึ่งอยู่ในกลุ่มของโอเมก้า-3 มี 2 ชนิด ได้แก่
1. EPA (Eicosapentaenoic
Acid)
มีคุณสมบัติในการลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด
พร้อมทั้งป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด
และยังป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคสมองขาดเลือด
และโรคที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
2. DHA (Docosahexaenoic
Acid)
เป็นส่วนประกอบสำคัญของสมองและดวงตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง
การเรียนรู้ ความจำ ตลอดจนระบบสายตา ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำมันปลา
มีผลดีต่อสุขภาพอย่างไร
ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดชั่วคราว
การรับประทานน้ำมันปลา
จะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและช่วยลดไขมันในเลือด
จึงป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมอง
โดยมีผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่า
กลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจที่รับประทานน้ำมันปลาวันละ 3 กรัม
ร่วมกับวิตามินอีธรรมชาติ 200-400 ยูนิต
สามารถลดอัตราการตายเนื่องจากหัวใจล้มเหลวลง 15%
เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับประทานน้ำมันปลา
ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน
กรดไขมันไม่อิ่มตัวในน้ำมันปลา เป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่มไอโคซานอยด์
(Eicosanoids) อันได้แก่ พรอสตาแกลนดิน-3 (Prostaglandins-3)
และทรอมบอกแซน-3 (Thromboxan-3) ซึ่งสารกลุ่มนี้จะยับยั้ง
การเกาะตัวของเกล็ดเลือด จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด
และช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวทำให้การไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น
ช่วยลดไขมันในเลือดกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3
จะช่วยยับยั้งการสร้างไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglycerides)
และไลโปโปรตีนชนิดความหนาแน่นต่ำมาก (VLDL) นอกจากนี้ยังเพิ่ม HDL
ซึ่งเป็นไลโปโปรตีนที่นำโคเรสเตอรอลไปทำลายที่ตับ
จึงช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
ลดความดันโลหิตสูง
การรับประทานน้ำมันปลาช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว
และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
จึงมีผลให้ความดันเลือดลดลง
ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อรูมาตอยด์และข้อเสื่อมกรดไขมันในน้ำมันปลา
ช่วยลดการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (สารกลุ่มลิวโคไตรลิน)
ช่วยบรรเทาอาการปวด บวม
อักเสบตามข้อและยังช่วยลดปริมาณการใช้ยาแก้ปวดข้อ (NSAID) ลงได้
ข้อควรทราบของน้ำมันปลา
น้ำมันปลา เหมาะสำหรับ
ขอเพิ่มเติมอีกซักหน่อยนะคะ สำหรับสาว ๆ หรือหนุ่ม ๆที่รักสวยรักงาม
นอกจากนี้ กรดไขมันโอเมก้า-3 พบได้ในน้ำมันปลา สามารถช่วยรักษาสิวได้ด้วยการบรรเทาการอักเสบที่เป็นสาเหตุของสิว และช่วยยับยั้งกระบวนการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน(sebum)ที่มากเกิน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการอุดตันและทำให้เกิดสิว เมื่อ sebum รวมกับแบคทีเรียสุดท้ายก็เกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น
EPA หรือ Eicosapentaenoic acid เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของการป้องกันการอักเสบ และกรดไขมันโอเมก้า-3 มีประโยชน์ในการนำไปผลิต Prostaglandins ซึ่งช่วยในการรักษาระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม แอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนที่มีผลกับการผลิต sebum และจะมีมากในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นสาเหตุทีว่าทำไมวัยรุ่นจึงเป็นสิว
กรดไขมันโอเมก้า-3 นั้นพบได้ในปลาแอนโชวี่ ปลาเฮริ่ง ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน แต่ก็เป็นการยากที่จะได้บริโภคปลาเหล่านี้เพื่อให้ได้โอเมก้า-3 ในปริมาณที่เพียงพอ และเนื่องจากในปลาสดเหล่านี้อาจมีสารพิษตกค้าง จึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานปลาสดเหล่านี้เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
วิธีการที่จะได้รับกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ในปริมาณที่เพียงพอเพื่อรักษาปัญหาสิว คือการเสริมอาหารด้วยน้ำมันปลาที่มีคุณภาพและมีปริมาณ EPA สูง
ผลข้างเคียง การใช้อาหารเสริมน้ำมันปลาในปริมาณที่มากเกินไปก็จะมีผลข้างเคียงเช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย เรอบ่อย และฝาดในปาก และยังมีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่ทำงาน เลือดออกไม่หยุด และทำให้การควบคุมกลูโคสลดลงในคนที่เป็นเบาหวาน
มีรายงานว่าบางคนเกิดอาการแพ้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาการขึ้นผื่นคัน อาหารไม่ย่อย และไม่แนะนำให้ผู้เป็นโรคไตรับประทานโดยไม่ปรึกษาแพทย์
ยังไม่พบว่ามีรายงานถึงอาการขั้นรุนแรงของการใช้อาหารเสริมน้ำมันปลาในปริมาณ 15 กรัมต่อวันในระยะยาว
ขนาดรับประทานและวิธีการ
อาหารเสริมน้ำมันปลามีหลายรูปแบบมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของน้ำมันปลาธรรมชาติที่ได้จากปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำเย็น ปลาเหล่านี้จะมีค่า EPA ที่ 30% และ EPA/DHA ที่ 1.5
ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันปลา 1 แคปซูลน้ำหนัก 1 กรัม จะมี EPA 180 มิลลิกรัม และ DHA 120 มิลลิกรัม น้ำมันปลาในรูปแบบที่มีความเข้มข้นมากนั้นเป็นกึ่งสังเคราะห์ 85% EPA/DHA น้ำมันปลาดังกล่าวจะมี EPA กึ่งสังเคราะห์ 490 มิลลิกรัม และ DHA สังเคราะห์ 350 มิลลิกรัม ต่อหนึ่งแคปซูลที่ 1 กรัม
น้ำมันปลาที่แนะนำควรจะมีสารต้านอนุมูลอิสระเช่น โทโคฟีรอล (วิตามินอี) เพื่อป้องกันอนุมูลอิสระ และน้ำมันปลาที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอ และวิตามินดีในปริมาณที่สูง อาจทำให้เป็นพิษได้เมื่อรับประทานนานๆ จึงไม่ควรนำมาใช้
การใช้น้ำมันปลาโดยการกินเป็นปกติทุกวันนั้นอยู่ที่ 3-5 กรัมต่อวัน และการเลือกซื้อก็ควรดูที่ฉลากด้วยว่าได้ระบุค่าของ EPA/DHA เอาไว้ด้วย การรับประทานที่ดีที่สุดคือทานพร้อมอาหาร สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรทานที่ 3 กรัมต่อวัน ขนาดการใช้ 3 กรัมต่อวันยังเหมาะสำหรับผู้เป็นโรครูมาตอยด์ แผลเปื่อย โครห์น
อ่านแล้วน่าสนใจนะคะ แต่การเลือกทานอาหารเสริมหรือใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละคน และดูข้อควรระวัง ข้อห้ามใช้ให้ดีก่อนนะคะ
ผมอยากทราบว่าควรกินวันละกีเม็ดต่อวัน เวลาไหน