ก็ห่างหายวงการไปได้สักพัก อันเนื่องมาจากช่วงปีใหม่นี้งานเยอะมาก รวมกับผู้เขียนต้องเตรียมตัวต่อปริญญาโทด้วย อย่างแรกขอบ่นว่าเซ็งเล็กน้อยที่สมัครสอบ CU-TEP ไม่ทัน เลยต้องรอปีหน้า อีกประการหนึ่งคือเดี๋ยวช่วงไม่เกินกลางปีหน้าเดี๋ยวผู้เขียนก็ต้องไปเรียนภาษาต่อที่ต่างประเทศอีกหกเดือน จึงเตรียมตัวกันยกใหญ่ กลับมาขอให้สอบติด อักษรศาสตร์ เอก วรรณกรรมเปรียนเทียบ (Comparative Literatures) ทีเถ้ออออ เพี้ยง กระผมขอพรจากดวงดาว และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฮ่ะๆๆๆ โม้มาได้พอประมาณ เข้าเรื่องดีกว่านะครับ
ประการแรกที่จะกล่าวเลยคือ ผมจะไม่เลิกเขียนแน่นอน เพราะการเขียนคือความสุขอย่างหนึ่งของผม แม้บางครั้งงานเขียนของผมอาจจะดูด้อยค่า เมื่อเทียบกับงานเขียนดีๆที่สื่อความหมายของนักเขียนหลายๆคน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมี คือใจที่รักในความงามของภาษาศาสตร์ และศิลปะวรรณกรรมต่างๆ จึงใคร่อยากจะเรียนว่า ไม่มีวันจะเลิกเขียนแน่นอนครับ ช่วงที่หายไปเป็นพักๆ ก็เป็นเพราะภาระหน้าที่บังคับให้ต้องเป็นไปแบบนั้น
มาพูดถึงศิลปะวรรณกรรมนั้น ก็เปรียบเสมือนความงามอย่างหนึ่งในแง่ของศาสตร์และศิลป์ ที่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ บวกกับจินตนาการสื่อสารออกมาเป็นภาษาอันไพเราะเพราะพริ้ง ให้ผู้อ่านได้ซึมซาบถึงอรรถรสความงามนั้นได้
ไม่ว่ายุคใดสมัยใด กวีไม่เคยตกยุคตกสมัยไป อันเนื่องมาจากใจที่รักในความงามของภาษานั้นมีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใดก็ตาม
จุดมุ่งหมายจริงๆของกวีนั้นไม่ได้มีอะไรมากมายเลย เพียงแค่อยากจะสื่อสารกับผู้อ่าน ให้ได้เข้าใจถึงแง่คิดชีวิต หรือความงามในจิตใจของเขา สื่อไปถึงผู้ที่รับงานสร้างสรรค์นั้นผ่านไปทางตัวอักษร ร้อยเรียงด้วยถ้อยคำที่สละสลวย แต่ละตัวอักษรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณและความรู้สึกนึกคิด บทกวีนั้นจึงทรงคุณค่าอยู่เสมอ ไม่ว่ายุคใดสมัยใด
กระผมซึ่งเป็นคนหนึ่งที่หลงไหลในงานของเชคสเปียร์ สาเหตุไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดังหรือว่าอย่างไร แต่เพราะภาษาที่เขาใช้ร้อยเรียง และแง่คิดต่างๆที่เขาฝากไว้ให้ชนรุ่นหลังนั้น ช่างงดงามและทรงคุณค่าหาใดเปรียบไม่ได้ นอกจากนี้ผมก็ยังชอบผลงานของนักเขียนอีกหลายๆคนที่ไม่ได้เอ่ยนามมาก็มาก
ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากจะเขียน และก็เขียนสื่อความหมายจากใจผมออกมา ร้อยเรียงเป็นตัวอักษร แม้งานนั้นอาจจะด้อยค่ากว่านักเขียนหลายๆคน เพราะผมรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ แม้ผมอาจทำมันได้ไม่ดีเท่าใครก็ตาม
สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากให้ทุกคนได้เห็น รับรู้ และเข้าใจตรงกันก็คือ ความงดงาม ของศิลปะ กวีนิพนธ์ หรือความงามในแขนงใดๆก็ตาม นั่นก็คือ งานสร้างสรรค์ที่ไม่มีวันจางหาย กับกาลเวลา มันยังคงอยู่คู่โลกนี้เสมอ ตราบใดที่จิตใจของมนุษย์นั้น ยังคงมีความชื่นชม และดื่มด่ำในความงาม ไปตราบนานเท่านาน