- อนุโมทนาอย่างยิ่ง...
เจริญพร
วันนี้... (วันพระ) ได้นำเอาศีลข้อสองเป็นหัวข้อธรรมเทศนา โดยเริ่มจากการแปลคำสมาทานศีลว่า...
จากคำแปลจะเห็นได้ว่า มิได้ห้ามการลักทรัพย์ แต่ให้ยึดถือหัวข้อที่ควรศึกษา กล่าวคือให้พิจารณาว่า ถ้าเราจงใจจากการเว้นการลักขโมยสิ่งของผู้อื่นนั้น จะมีคุณมีโทษอย่างไร...
ต่อจากนั้น ก็ได้นำเอาองค์ประกอบแห่งศีลข้อสองมาขยายความ ซึ่งมี ๕ ประการ กล่าวคือ
อธิบายโดยย่อ... สิ่งของที่ผู้อื่นยังคุ้มครอง ปกป้อง รักใคร่ห่วงใย ยังไม่ได้สละหรือทอดทิ้ง เรียกว่า สิ่งของที่ผู้อื่นห่วงแหน .... และเราต้องรู้ด้วยสามัญสำนึกด้วยว่าสิ่งนั้นยังมีเจ้าของอยู่ ดังเช่น เดินตามถนนเห็นกางเกงสวยงามตกอยู่กลางถนน คิดว่าไม่มีเจ้าของจึงฉวยหยิบไป แต่กางเกงตัวนั้นเจ้าบ้านตากไว้ที่ดาดฟ้าพลัดร่วงลงมา... อย่างนี้แม้กางเกงตัวนั้นจะมีเจ้าของแต่เรามิได้สำเนียงว่าเป็นสิ่งที่มีเจ้าของ และมิได้มีไถยจิตคิดจะลัก จึงไม่ถือว่าเข้าองค์ประกอบ แต่ถ้าเจ้าของเห็นทักท้วงก็ต้องคืนกลับให้เขาไป...
เมื่อมีไถยจิตคิดจะลักก็ต้องอาศัยความพยายามด้วย แม้ไม่มีความพยายามก็ไม่ถือว่าผิดศีลข้อนี้ เนื่องจากไม่สำเร็จประโยชน์... จริงอยู่ว่า ศีลข้อนี้เป็นกายกรรม แต่การพยายามนั้น อาจเป็นไปได้ทั้งทางกายทวารและวจีทวาร กล่าวคือ จะขโมยเองหรือใช้ผู้อื่นให้ขโยมมา ก็จัดว่าเป็นการผิดศีลข้อนี้เหมือนกัน เมื่อสามารถขโมยได้ด้วยความพยายามนั้น...และการพยายามในอทินนาทานนี้ จะรวมอาการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นขโมย ฉก ชิง วิ่งราว สับเปลี่ยน ฉ้อ ยักยอก ปล้น ฯลฯ
อนึ่ง ยังมีเรื่อง วิสสาสะ กล่าวคือ การหยิบฉวยโดยอาศัยความคุ้นเคย ไม่ถือว่าเป็นการผิดศีลในข้อนี้ โดยท่านกำหนดหลักแห่งการถือวิสาสะไว้ ๓ ประการ กล่าวคือ
ตัวอย่างก็เช่น มีสวนอยู่ใกล้กัน ไม่มีจอบจะใช้ เห็นจอบสวนติดกันวางอยู่จึงนำมาใช้ ต่อมาไม่ได้นำกลับไปคืน เพราะเห็นว่าสวนติดกันมีจอบเหลือใช้อยู่หลายอัน แม้เจ้าของจอบเก่าเห็นก็มิได้ทักท้วงเรียกคืน ... หรือนักเรียนวัยรุ่นเช่าบ้านอยู่ร่วมกัน อาจหยิบฉวยเสื้อผ้านำของคนอื่นไปใช้แล้วไม่คืน ทำนองนี้ก็อาจจัดเข้าว่าเป็นวิสสาสะ...
การถือวิสสาสะนี้ การที่เจ้าของเดิมพอใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเจ้าของเดิมไม่พอใจทักท้วงก็ต้องคืน ถ้าไม่คืนก็ถือว่าผิดศีลข้อนี้...
ประการสุดท้ายก็ขยายความถึงการกำหนดโทษหรือบาปหนักเบาของศีลข้อนี้ โดยประการแรกท่านให้พิจารณาคุณค่าหรือราคาสิ่งของนั้นๆ ถ้าราคาสูงก็จะเป็นโทษหรือบาปมาก ถ้าราคาต่ำก็จะเป็นโทษหรือบาปน้อย ดังเช่น ขโมยรองเท้าแตะคู่ห้าสิบบาท ย่อมเป็นบาปหรือโทษน้อยกว่าการขโมยรองเท้าหนังคู่สองพันบาท เป็นต้น
ต่อมาให้พิจารณาเจ้าของสิ่งที่ถูกขโมย กล่าวคือ ถ้าขโมยของคนดีมีคุณธรรมก็จัดว่าเป็นบาปหรือโทษหนัก แต่ถ้าขโมยของคนชั่วไร้คุณธรรมก็จัดว่าเป็นบาปหรือโทษเบา... อีกอย่างหนึ่ง ถ้าขโมยของผู้มีพระคุณก็จัดว่าเป็นบาปหรือโทษมาก เช่น ไปอาศัยนอนบ้านเค้าแล้วขโมยของเค้ามาย่อมเป็นโทษหรือบาปมากกว่าการขโมยของคนที่เราไม่รู้จักไม่เกี่ยวข้องด้วย เป็นต้น
สิ่งที่ถูกขโมยก็เป็นตัวกำหนดโทษหรือบาปหนักเบาได้เช่นเดียวกัน กล่าวคือ ถ้าขโมยของหนักถือว่ามีโทษหรือบาปมาก เพราะต้องใช้ความพยายามสูง แต่ถ้าขโมยของเบาก็ถือว่ามีโทษหรือบาปน้อย เช่น ขโมยหมวกใบหนึ่งย่อมเป็นบาปหรือโทษต่ำกว่าการขโมยโทรทัศน์ เพราะหมวกเบากว่าโทรทัศน์ เป็นต้น
กรณีที่มีความขัดแย้งในการวินิจฉัยโทษหรือบาปเหล่านี้ ท่านให้ถือกิเลสคือความละโมบโลภมากและความพยายามในการขโมยเป็นสำคัญ กล่าวคือ ถ้าขโมยด้วยความละโมบสูงต้องอาศัยความพยายามอย่างแรงกล้าจึงจะขโมยสิ่งนั้นมาได้ นับว่ามีโทษหรือบาปหนักกว่าการขโมยมาง่ายๆ...
ประเด็นนี้ใกล้เคียงกับกฎหมายปัจจุบัน ตามที่เคยได้ฟังมาบ้างก็เช่น การปล้นกลางวัน ศาลมักลงโทษเบากว่าการปล้นกลางคืน... หรือการวิ่งราวสร้อยคอทั่วไป ศาลมักลงโทษเบากว่าการใช้รถจักรยานยนต์กระชากสร้อยคอ เป็นต้น... นั่นคือ พิจารณาความยากง่าย ของความพยายามและความละโมบโลภมากนั้นเอง
ประเด็นที่ต่างออกไปก็คือโทษหรือบาปในการขโมยของสงฆ์ ได้แก่ของส่วนรวม สมาคม องค์กร หรือของสาธารณะทั่วไป ซึ่งต้องไปเกิดเป็นเปรตนั้น เรื่องนี้ผู้เขียนเคยเล่าไว้แล้ว (ผู้สนใจ คลิกที่นี้ )
ส่วนคำอธิบายว่าธรรมเป็นตัวกำหนดและตัดสินโทษหรือบาปหนักเบานั้น ผู้เขียนได้ขยายความไว้แล้วในศีลข้อแรก (คลิกที่นี้)
นมัสการพระคุณเจ้า
หลักกฎหมายก็อิงมาจากหลักธรรม เพื่อป้องปรามคนไม่ดี แต่ผู้ที่รู้และใช้ประโยชน์จากกฎหมาย หาประโยชน์ให้ตัวและพวกพ้อง มันไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
คืนนี้บังมาเร็วเกินปกติ โดยมากมักจะเห็นบังหลังเที่ยงคืนไปแล้ว (....)
แนวคิดสำนักกฎหมายธรรมชาติเชื่อว่า จริยธรรมและกฎหมายเลียนแบบมาจากกฎธรรมชาติ (เคยเขียนเรื่องนี้ไว้บ้างแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าอยู่บันทึกใด)...
ข้อแตกต่างกันเพียงแต่ว่า จริยธรรมนั้นไม่มีสภาพบังคับ ส่วนกฎหมายมีสภาพบังคับ....
ประเด็นที่บังว่ามานั้น เค้าก็พยายามคิด แก้ไข และหาทางป้องกันมานานแล้ว และคงจะต้องพยายามต่อไป...
เจริญพร
กราบนมัสการเจ้าค่ะ BM.chaiwut
หนูเปิ้ลเห็นด้วยค่ะ
ซึ้งในรสพระธรรมจริงๆค่ะ
นมัสการพระอาจารย์
อ่านจบแล้ว ก็ต้องไปหาข้อ 1 อ่าน แล้วจึงกลับมา comment
(ด้วยรู้สึกว่าทั้งสองข้อคล้ายกัน จึงบันทึกที่นี่ที่เดียว)
รู้สึกว่าคิดได้ตาม common sense เป็น ธรรมชาติ ดี
แต่การตีความให้ ดูเหมือน อ่อนลง นี้ จะทำให้คนละศีลมากขึ้นมั้ยครับ
ถ้าพิจารณาเชิงกฎหมาย ก็น่าจะเป็นไปทำนองเดียวกัน คือคนที่รู้กฎหมายมักหาวิธีการหลีกเลี่ยงเพื่อรอดพ้นจากความผิด หรือให้ผิดน้อยที่สุด ซึ่งความเห็นของโยมคุณหมอน่าจะสอดคล้องกับประเด็นนี้...
แต่เจตนารมณ์กฎหมายจริงๆ จะเป็นอย่างไร นั่นคือประเด็นที่ต่างออก...
การรักษาศีลก็เช่นเดียวกัน ย่อมมุ่งไปถึงอุดมคติแห่งศีล มิใช่เพียงแต่การวินิจฉัยว่าบาปน้อยบาปมากเท่านั้น...
อย่างไรก็ตาม ข้อวินิจฉัยเหล่านี้ บ่งชี้ถึงภูมิปัญญาของโบราณาจารย์...
เจริญพร
ศีลาสิกขา สัมมาว่าฮ้อ รับเอาหัวข้อ จดจ่อศึกษา
ตั้งใจ๋ละเว้น ก๋ารเป๋นโทษา เอาเจ๋ตนา มาเป๋นที่จั้ง
คฤหัสถา ศีลห้ามาตั้ง ป๋าณาติป๋าตัง เป๋นเก๊า
.
สองอทินนา สามกาเมเค้า สี่มุสาเข้า รวมนัย
ห้าข้อปั๋ญจะ มัชชะเมาไก๋ สุราเมรัย เว้นไกล๋บ่เข้า
ยอมือไหว้สา พระมหาเจ้า ข้าขอลำเนา ค่าวเน้น
.
ป๋าณาติป๋า ศึกษาเพื่อเว้น ก๋ารเข่นฆ่าล้าง ม้างชีว์
สัตว์มีชีวิต จิตคิดเบียดสี เพียรทุกวิธี บั่นชีวาสั้น
สัตว์นั้นต๋ายไป ดั่งใจ๋ว่าอั้น ครบองค์โดยพลัน ขาดนับ
.
อทินนาทาน์ รู้ว่าสินทรัพย์ มีเจ้าของอั้น ปันแปง
มีไถยจิต คิดผิดคิดแผง จักลักของแปง ด้วยแรงอยากได้
เพียรทุกวิถี ต๋ามวิธีใบ้ ได้ของเมื่อใด ขาดนะ
.
มีต่อในข้อ 3 ขอรับ