พันธมิตรชนะแล้วจริงๆ ด้วย


PAD 1 : Thailand 0

เป็นที่แน่ชัดว่า การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองที่ผู้แทนราษฎรหลายพรรคหันไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นผลมาจากการกระทำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปัตย์ เอ๊ย ประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการยึดสถานที่ราชการ รัฐสภา ปิดถนน จนในที่สุดยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง สร้างความเสียหายนับหมื่นล้านบาทโดยไม่มีผู้ใดออกมารับผิดชอบ ซึ่งในประเทศที่มีอารยธรรมทั่วไปถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่สำหรับประเทศไทยนั้น การกดดันรัฐบาล ศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนประเทศชาติดังกล่าวกลับนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้สำเร็จ นับเป็นชัยชนะของพันธมิตรอย่างแท้จริง และยิ่งกว่านั้นก็คือไม่ต้องชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วย

สิ่งที่น่าคิดก็คือ ถ้าพันธมิตรชนะแล้ว ใครแพ้ครับ

ที่แน่ๆ ก็คือธุรกิจของประเทศที่ย่ำแย่จากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาอยู่แล้วต้องพังพินาศ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า หรือแม้แต่ผู้ที่หาเช้ากินค่ำอย่างคนขับรถสามล้อ หรือผู้ที่ให้บริการต่างๆ นอกจากนี้ ผู้ที่ส่งออกสินค้าทางเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ผลไม้ และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ก็สูญรายได้มากมายเช่นกัน

ผู้แพ้รายต่อมาก็คือประชาชนที่ผู้แทนราษฎรของเขาแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งก็ต้องนับว่าเป็นฝ่ายแพ้เหมือนกัน เพราะการที่เราเลือกลงคะแนนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาจากการใช้ "สิทธิ" ในการเลือกในอุดมการณ์ทางการเมืองที่เขาเชื่อ และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขั้ว ก็เหมือนกับผู้แทนฯ หอบเอาเสียงของประชาชนไปซบอกฝ่ายตรงข้าม

ดังนั้น ส่วนที่แพ้มากที่สุดก็คือระบอบประชาธิปไตยของไทย เพราะการปกครองตามระบอบนี้นั้น ประชาชนโดยรวมจะเป็นผู้บอกว่าต้องการให้ใครเข้ามาเป็นตัวแทนของเขาในการบริหารประเทศ แต่เมื่อประชาชนได้เลือกแล้ว กลับถูกคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำให้ต้องลงจากอำนาจโดยไม่ชอบธรรม ก็ทำให้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประชาธิปไตยของคนไทย 65 ล้านคนต้องถูกปล้นโดยคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคราวนี้ก็คือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (เพื่อประชาธิปไตยนะครับ แบบเดียวกับสาธารณรัฐประชาชนประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเลย!)

 

คำสำคัญ (Tags): #eti5301-3
หมายเลขบันทึก: 228970เขียนเมื่อ 12 ธันวาคม 2008 14:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน 2012 11:08 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)

ผมว่าพันธมิตรไม่ชนะหรอกครับ

ต้องรอดูยาว ๆ

เรื่องนี้ต้องท้าวความว่าในรุ่งขึ้นหลังจากพันธมิตรยุติการยึดครองสนามบินสุวรรณภูมินั้น หนังสือพิมพ์ข่าวสดลงพาดหัวข่าวที่ค่อนข้างจะคัดค้านความรู้สึกว่า "พันธมิตรชนะ" ผมจึงได้เขียนลงใน Blog http://learners.in.th/blog/kritapol-eti5301-3   ครับ

 

Headline of Khao Sod daily newspaper screamed "PAD Wins!" following the end of the siege of Suvarnabhumi and Don Muang airports. All the supporters packed up their belonging and left the airports as well as the Government House a day earlier with smiles on their faces, all feeling good about themselves that they have done something noble for the country. My first thought was, "Did PAD really win?". If that is true, then who LOST? Surely not Thaksin. He was already living abroad with all his money intact. What about ex-PM Somchai or Samak? I think they are happy to get this monkey off their backs. No, the only people who lost in this case are the entire nation. Yes, WE - you and me plus our families, our neighbour, our businesses, our organizations, our schools etc., LOST. So many people are affected by this act of treason for a very long time; all the tourism related business like hotels, transports, entertainment, even farmers, fishermen, taxi drivers, tour operators, bar owners, go-go dancers etc. Even our export sectors lost out to our competitors who secured orders while our airprts were closed. The worst part is probably our credibility as a peace loving "Land of Smiles". How many foreign tourists want to come here and get stuck in the country that is ranked as the 7th most dangerous place in the world next to Iraq, Afghanistan, Somalia etc.? Worse still that there is no way we can recover all that we lost, not in 5-10 years, not ever! Imagine the lost that runs into billions of baht, which they are filing for damages against the PAD. That is a bit like a sick joke to sue people like Sondhi who was already legally bankrupt (or Chamlong who tries so hard to show that he lives in poverty). The chance of getting any kind of settlement at all is virtually nil. So, what do we learn from this? How about pretend you are poor and you can get away with anything.

ผมว่าพันมิตรคนชั้นกลางส่วนน้อยพูดข้อนข้างจริง มากกว่าผู้ที่กินเงินเดือนและภาษีของเราพูดให้เราเชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็เป็นคนเลวไม่รักประชาธิปไตย

เสียงของคนส่วนน้อยที่มีเหตุผลก็ควรจะฟังและปรับปรุง

  • สวัสดีค่ะ
  • แวะมาทักทายและมาบอกว่าอย่าเครียดค่ะ
  • ไม่มีใครแพ้ใครชนะ มีแต่ความหายนะของบ้านเมืองค่ะ

จริงๆ ก็คือผมไม่เชื่อว่า "ชัยชนะ" ที่ว่านี้คือสิ่งที่ถาวร ต้องดูยาวๆ เหมือนคุณ AjKae ว่า

การที่ว่าเราต้องฟังเสียงคนทุกคน แม้จะเป็นกลุ่มน้อย ก็ถูกต้องอีกเหมือนกัน เพราะนั่นคือประชาธิปไตยที่เราคนไทยทุกคนต้องมีสิทธิ พูด และรัฐบาลต้องฟัง

อย่างไรก็ตาม การกระทำการใดๆ ที่ผิดกฎหมาย และศีลธรรม สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศ เพียงเพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่ตนต้องการ ก็ไม่ถูกเหมือนกัน

ในที่สุดแล้วเราต้องใช้เสียงของคนส่วนใหญ่ตัดสิน และเสียงของคนทุกคนเท่าเทียมกัน 1 คน 1 เสียง นี่คือระบอบประชาธิปไตย

ถึงวันนี้เราควรเลิกทะเลาะกัน และต้องมองไปข้างหน้าว่าเราจะช่วยกันทำเพื่อประเทศชาติอย่างไร ... เพื่อประเทศไทยและในหลวงที่รักของเรา

เรามิควรเพ่งความสนใจที่ ใคร แพ้ ใคร ชนะ

แต่ เป็นนิมิตหมายที่ดี ในความกล้าที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง

... จากอดีตหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ... ปชช. เรายอมจำนนเกิน

ผู้นำที่ไร้จริยธรรม จึงเฮิมเกริมได้ขนาดนี้ ... เป้าหมายใหญ่

มิใช่ ใครสี อะไร แต่ คือ มุมมองเรื่องศีลธรรม ที่ถูกบิดเบือน

...

ความเสียหายที่เกิดขึ้นนับเป็นเรื่องเล็กน้อย หากเปรียบเทียบกับ

สิ่งที่ นักโทษทรราชย์ คนนั้น กระทำกับบ้านเมืองเรา และ ตอนนี้

ไม่เข้าใจว่า ทำไมมันผู้นั้น ยังมีสิทธิ ปากพล่อย ไปทั่วโลก อย่าง

ไร้สามัญสำนึก ... บทลงโทษ บ้านเรา อ่อนขนาดนี้เลยหรือ ไร ?

...

ปชช. จะชนะก็เมื่อ เลิกแบ่งพรรค แบ่งภาค เลิก ระบบอุปถัมภ์ ซะที

ฤา คุณไร้ศักยภาพที่จะพึ่งพิงตนเองได้ ... หากต้องการมีสิทธิเสียง

ควร พัฒนา และ รักศักดิ์ศรี อีกนิด ... ยัง หวัง ยัง รอ  ... วันนั้น ...

...

 

ชนะ   แพ้   คือความหมายที่พวกเขาบัญญัติขึ้นเอง?

แต่พวกเราหลั่งน้ำตาสงสาร ประเทศไทย

มาร่วมแบ่งปันความรู้สึกค่ะ

 

ปัญหานี้มันมีหลายมิติที่ทับซ้อนกันอยู่ครับ ยังบอกไม่ได้ว่าแพ้ชนะ

ต้องมองลึกๆ ครับ

และบางครั้งมันก็ลึกหรือสูงเกินกว่าสายตาจะมองเห็น

เมื่อใช้อำนาจเลือกตัวแทนที่มีอุดมการและความคิดใกล้กันไปทำหน้า ตัวแทนส่วนนั้นก็ไม่มีโอกาสสักที

ประชาธิปไตยของไทยยังคงต้องล้มลุกคลุกคลานต่อไปอีกนาน จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่เต็มใบได้ ทั้งนี้ก็เพราะระดับการศึกษาโดยรวมของเรายังต่ำ จึงทำให้คนบางกลุ่มใช้กลโกงในการเข้ามาเป็นผู้แทนฯ และก็ยังใช้อำนาจไปในทางที่ผิดอีก

เมื่อใดที่คนไทยมีการศึกษาสูงพอและไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนเลว เราก็คงมีประชาธิปไตยที่เต็มใบจริงๆ แต่มันคงต้องใช้เวลานานทีเดียว ตราบใดที่เรายังไม่พัฒนาการศึกษาให้เด็กไทยคิดเองเป็น เพราะตอนนี้เรายังสอนให้เด็กท่องจำเพื่อใช้ในการสอบ มากกว่าการศึกษาที่เป็นการเรียนรู้อย่างแท้จริง  ไม่ต้องอะไรหรอก ดูคนไทยเรียนภาษาอังกฤษกันคนละ 10 ปีขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้ทั้งนั้น

 

สวัสดีค่ะท่าน ... Kritapol Sundaravej

  • ครูอ้อย เป็นครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ขอยกมือ เพราะถูกพาดพิง

10ปี หมายถึง....

3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

1ปีต่อ 120 ชั่วโมง

10ปีต่อ1200 ชั่วโมง

  • กลับถึงบ้าน  ไม่ได้ใช้  กลับมาเรียนก็ลืม  ต่อใหม่ ลืมเก่า..เรื่องมันเศร้า หัวอกครูสอนภาษาอังกฤษ
  • ท่านขา..ว่างๆเรียนเชิญ..ที่นี่..ที่นี่...ที่นี่...ที่นี่...จะได้ทราบพอสังเขปว่า..ครูผู้สอนภาษาอังกฤษ เขาทำอะไรกัน
  • เรื่อง.....ใครชนะ หรือ แพ้.....น่าจะหันมาเชื่อ เรื่องของกรรม ธรรมชาติ  ช้าหน่อยแต่..สวยงาม 
  • ขออย่าให้ไทย ช้ำไปมากกว่านี้เลย..
  • ครูอ้อยขอเป็นกำลังใจให้ท่าน และคนไทยทุกท่าน นะคะ

Bea3

ครูอ้อยครับ ผมเห็นใจครูจริงๆ เพราะผมก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษเหมือนกัน และก็ต้องทุ่มเทแรงกายและใจในการชักจูงให้นักเรียนหันมา ใช้ ภาษาอังกฤษกัน

การจัดตั้งชมรม English Club ให้นักเรียนได้มีโอกาสพูดคุยกัน และกับผู้สอนในบรรยากาศนอกห้องเรียนก็เป็นวิธีหนึ่ง ยิ่งถ้าได้เชิญชาวต่างชาติมานั่งคุยด้วย เด็กๆ ก็จะต้องพยายามนึกคำที่เรียนมา ใช้ ในการสื่อสาร

ผมเน้นคำว่า ใช้ เพราะผมคิดว่านั่นเหละคือตัวปัญหาสำคัญ ที่เราเรียนๆ กันไปแล้วไม่ได้ใช้ครับ

ส่วนเรื่องแพ้ชนะอะไรกันนี่ ผมเห็นด้วยว่าอย่าให้ประเทศไทยของเราช้ำไปกว่านี้เลย คนไทยทำคนไทยด้วยกันทั้งนั้น

ท่านคะ...Kritapol Sundaravej

  • ครูอ้อยเคยเข้ารับการอบรม ทักษะการคิด  สรุปเอาเองว่า....ครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่  สอนให้รู้ และจำได้ เพียงเพื่อสอบ
  • แต่ไม่เน้น ลืม หรือเน้นน้อยเกินไป ที่จะส่งเสริมการนำไปใช้  อย่างที่ท่านเน้น...ใช้
  • ครูอ้อย พยายาม จังเลย ทุกอย่าง ทั้งเรื่องง่าย ยาก กับนักเรียนทุกคน ทั้ง 3 กลุ่ม  ...จนผมเปลี่ยนสีแล้ว  ยังไม่ได้ดังใจคิดเลยค่ะ
  • ครูอ้อยนึกแล้ว ท่านต้องเป็นครูผู้สอนภาษาอังกฤษ จึงได้ยกตัวอย่าง การเรียนภาษาอังกฤษ..มา 10 ปี แล้วพูดไม่ได้...ปัญหาการสอนภาษาอังกฤษ 
  • ชมรมภาษาอังกฤษ..คิดแต่ทำไม่ได้ค่ะ  เวลา เรา ไม่ มี มาก พอ.....

ขอบคุณมากค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักท่านค่ะ

ครับ ผมคิดว่าเราก็หัวอกเดียวกันตรงที่เราพยายามสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ของเราพูดได้ แต่สิ่งที่เป็นเรื่องยากและท้าทายเราก็คือ "สังคม" ทั้งนี้ก็เพราะสังคมไทยเรานี่มีการพูดภาษาอังกฤษกันน้อยมาก ในขณะที่เพื่อบ้านอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ เขาพูดกันตลอดทั้งวัน เพื่อนๆ พูดกัน ครูพูดกับนักเรียน พ่อแม่พูดกับลูก

ถ้าเราจะเอาอย่างเขาหมดก็คงยาก เพราะเขามีความจำเป็นที่มีหลายเชื้อชาติ แต่เราพูดไทยกันทุกคน แต่ถ้าเราจะไม่หาโอกาสใช้ภาษาอังกฤษเลย เด็กๆ ก็ไม่รู้จะเรียนไปทำอะไร (เหมือนกับการเรียน Calculus เลย) และในที่สุดก็คือจำไม่ได้ พูดไม่ได้

ที่โรงเรียนอาจารย์มีครูชาวต่างชาติบ้างไหมครับ  บางครั้งถ้าเด็กๆ ได้ลองพูดและพบว่าสามารถใช้ในการสื่อสารกับฝรั่งได้แล้วละก้อ อาจเป็นแรงจูงใจให้สนใจเรียน ตลอดจนจำสิ่งที่ตนได้ใช้พูดกับชาวต่างชาติอย่างยั่งยืน ครับ

Mr Todd

เห็น blog เงียบ เพิ่งเปิดมาเจอ ในฐานะครูขอแสดงความเห็นหน่อยนะครับ

แลกเปลี่ยนได้นะครับ

แต่ขอให้เป็นความคิดในระดับ Thought หรือ Ideology นะครับ

ถ้าเป็นระดับ Mentality ก็ขอให้มีทฤษฎี Back up หน่อยครับ

ในทางทฤษฎีโลกเปลี่ยนเข้าสู่สมัยใหม่ใน 3 รูปแบบ

1) ชนชั้นกลางนำการเปลี่ยนแปลง เพราะชนชั้นสูง และชนชั้นชาวนาถูกทำลาย เช่น อังกฤษ ชนชั้นชาวนาถูกทำลายในศตวรรษที่ 14 ส่วนชนชั้นสูงถูกทำลายในศตวรรษที่ 17 ราชวงศ์อังกฤษปัจจุบัน "นำเข้า" มาจากเยอรมัน พระเจ้าจอร์จที่ 1 พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อชนชนชั้นกลาง คือ พ่อค้านำการเปลี่ยนแปลงจึงต้องการเสรี "ใครใคร่ค้าค้า" จึงกลายเป็นระบบเสรีประชาธิปไตย ส่วนฝรั่งเศสชนชั้นสูงถูกทำลายใน ปี 1789 ชาวนามีส่วนร่วมบ้าง ทำให้ฝรั่งเศสเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่เปลี่ยนเป็นอำนาจนิยมในบางครั้ง เช่น จักรวรรดิที่ 1 และ 2 อาจจะรวมในสาธารณรัฐที่ 5 ช่วงแรกๆด้วยก็ได้ ส่วนสหรัฐอเมริกาชนชั้นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ถูกทำลายในสงครามการเมือง จึงกลายเป็นเสรีประชาธิปไตยโดยปริยาย ประเทศกลุ่มนี้จะการปกครองแบบประชาธิปไตย และเศรษฐกิจเป็นแบบทุนนิยม

2) ชนชั้นกลางไม่เข้มแข็งพอ ประเทศเหล่านี้มักจะพัฒนาอุตสาหกรรมที่หลัง ที่เรียกว่า "The Lated Becomer" พอต้องการตลาดพวกกลุ่มแรกไปครองไว้เกือบหมดแล้วจำเป็นต้องพึ่งชนชั้นสูง เช่น ในญี่ปุ่นต้องพึ่งพาชนชั้น ซามูไร ในเยอรมันคือ พวก Prussian Aristocrat ซึ่งทำหน้าที่ทางการทหาร และการฑูต เช่นเดียวกับ อิตาลี แม้การทหารจะไม่ค่อยได้เรื่อง แต่ชนชั้นสูงก็ทำหน้าที่ด้านการฑูตได้ดี เช่น คาวัวร์ เมื่อไม่ต้องง้อชนชั้นล่าง (เช่น เยอรมันจัดรัฐสวัสดิการสำเร็จ) การเมืองจึงกลายเป็นเผด็จการ เศรษฐกิจเป็นแบบทุนนิยม ประเทศเหล่านี้เปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยจากภายนอก คือแพ้สงคราม และถูกผู้ชนะบังคับ

3) ชนชั้นกลาง และชนชั้นสูงน้อยมาก ไม่มีการสะสมทุนในตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงสู่สมัยใหม่ (เช่น การผลิตด้วยอุตสาหกรรม) จะถูก Activists ซึ่งมักจะมาจากชนชั้นกลางนั่นแหละ (เช่น เลนิน แม้แต่เหมาที่อ้างว่าตัวเองมาจากชนชั้นชาวนา แต่ที่จริงแกเป็นบรรณารักษ์มาก่อน) พาพวกกรรมาชีพ คือ กรรมกร + ชาวนาปฏิวัติ กลายเป็นคอมมิวนิสต์ การปกครองเป็นแบบเผด็จการ เศรษฐกิจเป็นแบบสังคมนิยม ซึ่งแบบนี้กำลังจะสูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ

กรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

1) ชนชั้นกลางที่เป็นทุนผูกขาด หรือกึ่งผูกขาดมีความกังวลกับ พวก SME ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากความเข้มแข็งของพวกรากหญ้า

2) พวก Bureaucrats (ขอทับศัพท์หน่อยเพื่อไม่ให้เป็นประเด็นทางการเมือง และเป็นประเด็นทางวิชาการเท่านั้น) มีความกังวลต่อการเติบโตของพวกรากหญ้าเช่นกัน

3) การเติบโตของชนชั้นกลางคอปกขาว (พวกลูกจ้างที่เป็นแรงงานฝีมือ และแรงงานวิชาชีพ) ที่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตแบบคนเมือง มีลักษณะเป็นพวกบริโภคนิยมสูงมาก มักตกอยู่ใต้อิทธิพลสื่อ เพราะเชื่อว่าจะได้รับการยอมรับสูง ที่สำคัญ คือ ลักษณะ Apolitic คือ ไม่ได้สนใจที่จะศึกษาทางการเมืองลึกซึ้ง แต่พอจะมีส่วนร่วมก็จะเป็นอย่างที่เห็น คือ ผูกขาดความรักชาติ และรักสถาบันไว้คนเดียว ไม่มีการค้นคว้าทั้งระดับ fact, concept และ theory อย่างเพียงพอ อันนี้ยกเว้นพวก Politic Academician นะครับ พวกนี้ท่านรู้ดี อาจจะดีกว่าผมด้วยซ้ำ แต่วิกฤตินี้เป็นตั๋วสู่ดวงดาวของท่าน

4) กลุ่มทุนสื่อที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และมีการศึกษาข้อ 3) อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากทุนวิจัยที่กลุ่มนี้ทุ่มเท ตั้งแต่ปี 2535 คือเหตุการณ์พฤษภา และเริ่มศึกษาการก่อตัวของกลุ่ม Mob มือถือ Mob สีลม ฯลฯ จนโค่นล้มรัฐบาลชวน และสถาปนารัฐบาลทักษิณได้ พร้อมทั้งประกาศว่า นี่เป็นนายกที่ดีที่สุดที่ไทยเคยมี

ทายาททุนสื่อทรยศ!!!!

ทักษิณอาศัยการสร้างรากหญ้าเป็นฐาน และเริ่มทรยศต่อคนที่ดันตัวขึ้นมา

ที่สำคัญ รัฐวิสาหกิจที่แบ่งให้ทุนสื่อ เช่น การบินไทยให้ ประธานเครือผู้จัดการมาเป็นประธาน และ MD ที่มาจากเครือผู้จัดการ

รวมทั้งแบงก์กรุงไทย และเมื่อถูกแบงก์ชาติพบว่า ฟอกเงินให้กลุ่มทุนสื่อ และไม่ยอมเปลี่ยน MD ใหม่ตามความต้องการของทุนสื่อ

ซ้ำยังเอา ปตท.ที่ทุนสื่อหมายตาไว้ไปแปรรูปอีก

ก็ "กู้ชาติ" นะสิครับ

สรุปการปกครองแบบพันธมิตร คือการแบบที่ 2 ครับ คือการร่วมกันระหว่างกลุ่มทุน โดยเฉพาะทุนสื่อ กับ Bureaucrat ในทางวิชาการเรียกว่า Fascism ครับ

การเลือกตั้งที่ฮิตเล่อร์ชนะ ในปี 1932 ฮิตเล่อร์ได้ 230 เสียงจาก 608 ที่นั่งครับ ชนะมากแต่ไม่เด็ดขาด ได้เป็นนายกเพราะประธานาธิบดี ฟอนฮินเดนเบิร์ก ใช้สิทธิแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

การปฏิเสธผลการเลือกตั้งในปี 2551 อ้างเรื่องนี้ตลอดว่า ฮิตเล่อร์ก็ชนะเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ดูบริบทอื่นเลย

พวกฟาสซิสม์ชนะเพราะชนชั้นกลางกำลังกังวลว่าหากให้มีเลือกตั้งแบบ Universal Manhood Suffrage คือทุกคนมีสิทธิเท่ากัน พวกกรรมกร 1 คน หนึ่งเสียงอาจโน้มเอียงไปเลือกพรรคคอมมิวนิสต์

แนวทางก็คือความพยายามจำกัดสิทธิคนจน

เช่น ในเยอรมันมีการเผารัฐสภา แล้วใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นการปราบผู้ก่อการร้าย ซึ่งก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันพัฒนาเป็นการยิง M 79

กลไกก็คือ ปิดสื่อฝ่ายตรงข้าม ที่ Block ไป 2,000 เว็บนี่คงคล้ายๆกัน หวังว่า Blog นี้คงไม่โดนลูกหลงไปด้วย

สร้างกลไกที่จะให้สภามีแต่พวกตน เช่น การเมืองใหม่ ที่ใช้สรรหาแบบสัดส่วนวิชาชีพ โดยใช้ระบบกรรมการ "ฮั้ว" เช่นเดียวกับ "ระบอบทักษิณ" เคยทำฟอกตัวเอง

แต่ "ระบอบพันธมิตร" ไปไกลกว่าคือฟอกทรัพย์สินของรัฐไปเป็นของตัวเอง เช่น ITV กลายเป็นของเครือเนชั่นไปโดยปริยาย ไม่ต้องเสียเงิน 70,000 ล้าน บาท มาประมูลสัมปทาน

เงิน ค่าเทอมเด็ก "กรอ." 30,000 ล้าน บาทฟอกไปให้ คมช.

เงินกระทรวงอุตสาหกรรมที่ฟอกให้นิคมอุตสาหกรรมสินสาครของเครือเนชั่น

การตั้งกรรมการ "ฮั้ว" เพื่อยึดครององค์กรอิสระให้ทำตามที่ตนต้องการแบบเดียวกับ "ระบอบทักษิณ"ทุกอย่าง

แต่ครอบคลุมมากกว่าทั้งเงิน ทั้งกฎหมาย ทั้งการเมือง ทั้งสัมปทาน ฯลฯ

มีการสร้างการยอมรับความชอบธรรมของเสียงข้างน้อย

ปฏิเสธเสียงข้างมาก โดยโหมกระพือข่าวการซื้อเสียง

อยากจะสรุปว่าแท้ที่จริง ปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรใหม่ แต่ใหม่แค่รูปแบบแค่นั้นเอง

ขอบคุณมากสำหรับความคิดเห็นที่มีค่าของอาจารย์ ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเราก็ต้องประสบกับวิกฤติเป็นครั้งที่สองหลังจากม๊อบเสื้อแดงเดือดสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเสียยิ่งกว่าพวกเสื้อเหลืองเสียอีก แต่ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ แต่คนที่ "พ่ายแพ้" ก็ยังเป็นคนไทยตาดำๆ ทั่วไปอยู่ดี คล้ายๆ กับว่า เอ็งทำได้ ข้าก็ทำได้ แต่หารู้ไม่ว่าที่ทำๆ กันนั้น เป็นการทิ่มแทงและทำร้ายพวกเรา และประเทศของเราเองทั้งนั้น

บางทีประชาธิปไตยก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศที่ยังขาดความเจริญทางด้านความสำนึกในหน้าที่ ความรับผิดชอบ ตลอดจนขอบเขตและสิทธิ ในเมื่อคนจำนวนมากของเรายังสามารถถูกจูงจมูกไปทางโน้นที ทางนี้ที (เหลืองที แดงที) ก็แปลว่า assumption ของการใช้ระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิในการออกเสียงเท่าเทียมกันนั้นอาจจะผิดตรงที่คนจำนวนหนึ่งคิดเองไม่ได้ ส่วนหนึ่งคิดได้ ก็คือไม่เท่าเทียมแล้วเรื่องความคิด ดังนั้น การปกครองแบบรัฐบาลเข้มแข็งหรือกึ่งๆ เผด็จการ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็อาจชักจูงประเทศชาติไปในทิศทางเดียวกันได้ดีกว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ ทั้งนี้ มีข้อแม้ว่าผู้นำต้องมีคุณธรรม

บางทีประชาธิปไตยก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศที่ยังขาดความเจริญทางด้านความสำนึกในหน้าที่ ความรับผิดชอบ ตลอดจนขอบเขตและสิทธิ ในเมื่อคนจำนวนมากของเรายังสามารถถูกจูงจมูกไปทางโน้นที ทางนี้ที ... ทั้งนี้ มีข้อแม้ว่าผู้นำต้องมีคุณธรรม

....

ชัดเจนมากๆ ค่ะท่านอาจารย์ ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า การมีสิทธิขั้นพื้นฐาน ได้รวมเนื้อหาสำคัญยิ่งเรื่องการกำหนดทิศทางของประเทศผ่านการเลือกตั้ง แบบทุกเเสียงที่เท่าเทียมกันทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไขจะเป็นหนึ่งในข้อด้อย ของบ้านเราซึ่งยังไม่ถึงพร้อม ความเข้าใจและความตระหนักต่อผลประโยชน์ชาติเป็นอันดับแรกๆ .. ขอบพระคุณค่ะ

สิงค์โปร์ มาเลเซีย คลาสสิคมาก ครับอาจารย์

สิงค์โปร์ มาเลเซีย มีประชาธิปไตย มีระบบรัฐสภาเพราะเป็นอดีตเมืองขึ้นอังกฤษ แม่แบบประชาธิปไตย เป็น Myth ที่ท่องกันมานาน ถามว่า แล้วพม่าล่ะอดีตเมืองขึ้นใคร

หากแบ่งพัฒนาการทางการเมืองของกลุ่มอาเซียน (ยกเว้นบรูไน ที่มีลักษณะเฉพาะตัว) อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม

พิจารณาจากการขยายตัวของทุนนิยมในภูมิภาค กล่าวคือ

ในศตวรรษที่ 19 อังกฤษครอบครองในบริเวณที่เรียกกันในตอนนั้นว่า

British Malaya

บริเวณนี้ทำหน้าที่ผลิตสินค้า คือ ยางพารา และดีบุก ส่งไปยุโรป

การผลิตดีบุก และยางพารา ต้องใช้กรรมกรจีน

กรรมกรจีนกินข้าว

โดยระบบโลกจึงเกิดการแบ่งงานกันทำ

อังกฤษบังคับให้ไทยเปิดประเทศ ตามสนธิสัญญาเบาวริ่ง 1855 ส่งข้าวไปขาย

ประเทศอื่นๆ เช่น ลุ่มปากน้ำอิระวดี ลุ่มปากแม่น้ำโขง ดัชท์อีสต์อินดีส(อินโดนีเซีย) และ ฟิลิปปินส์ ก็ผลิตข้าว

กิจกรรมทางเศรษฐกิจหนาแน่นจึงมีที่มาเลเซีย และสิงค์โปร์ พ่อค้าชนชั้นกลางมาก

ขณะที่บริเวณที่ผลิตข้าวมี Forward & Backward Linkage น้อยมาก คือพ่อค้าน้อยนั่นเอง

1) เมื่อมาเลเซีย และสิงค์โปร์ได้เอกราชจึงเลือกที่จะเป็นประชาธิปไตย

2) กลุ่มประเทศที่เป็นบริวารสหรัฐ และหันมาใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม และเกิดชนชั้นกลางคอปกขาว คนกลุ่มนี้เริ่มเรียกร้องการมีส่วนร่วม และได้ยุติการผูกขาดอำนาจทางการเมืองของทหาร เป็นประชาธิปไตยช้าๆ ไทยในทศวรรษที่ 70 ฟิลิปปินส์ ในทศวรรษที่ 80 และอินโดนิเซียในทศวรรษที่ 90

3) ประเทศที่ได้เอกราชแล้วหันไปใช้แนวทางสังคมนิยม ก็เลยไม่มีพ่อค้า เช่น กลุ่มอินโดจีน และพม่า เมื่อเปิดประเทศทำให้มีการพัฒนาแบบเฉพาะตัว แต่เวียดนามแม้จะพัฒนาเร็ว แต่การที่รัฐเป็นรัฐคอมมิวนิสต์มาแต่เดิม ทำให้รัฐแข็งและเริ่มฮั้วกับพ่อค้ามากขึ้น และกำลังพัฒนาไปสู่การเป็นอำนาจนิยม

สำหรับประเทศไทยเมื่อชนชั้นกลางได้อำนาจในปี 2516 การเลือกตั้งมีความสำคัญมากขึ้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคนจนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากขึ้น เช่น เงินผัน งบส.ส. การกระจายอำนาจ และเงินตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ฉบับที่ 7 - 8 ฯลฯ

เหตุการณ์พฤษภา แม้จะถูกมองว่าเป็น ม็อบชนชั้นกลาง แต่ผู้เสียชีวิตเป็นชนชั้นล่างแน่ๆ

รัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ได้อำนาจต่อมารีบดำเนินการ จึงจัดสรรงบประมาณให้ชุมชนทันที 1,500 ล้านบาท (ซึ่งมากในสมัยนั้น และไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน)

การร่างรํฐธรรมนูญ 2540 นโยบายประชานิยม ฯลฯ เป็นตัวเร่งให้เกิด Emerging Political Player ใหม่

การฉีดเงินลงชนบทยิ่งเป็นตัวเร่ง

นำไปสู่การขยายตัวของธุรกิจขนาดย่อมมากมายที่เริ่มท้าทายธุรกิจผูกขาด และกึ่งผูกขาด จะเห็นได้ว่า ในช่วงวิกฤติเสื้อแดง ตลาดหุ้นกลับดีดตัวขึ้นมีการผ่านเงินจำนวนมากผ่านระบบตลาดทุนโดยธุรกิจเหล่านี้

การรัฐประหารรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งมา ยุบพรรคฝ่ายตรงข้ามถึง 2 ครั้ง เชือดนายกถึง 2 คน โดยกระบวนการตุลาการภิวัตน์

สร้างความคับแค้นให้กับผู้คน คนที่วิ่งเข้าหาลูกปืนแบบไม่กลัวตาย ถูกจ้างด้วยทักษิณหรือ ตายเพื่อกองทุนหมู่บ้านหรือ

คำตอบ คือ การถูกปิดประตูของการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองใส่หน้า

เหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ใช่การสิ้นสุดความรุนแรง

การปิดประตูกระแทกคน 40 ล้านคน มันเป็นการเริ่มต้นของความรุนแรงที่สุดหยั่งคาด

Myth อีกอันหนึ่งที่เป็น "ข้อด้อย" มากกว่าขอแลกเปลี่ยนนะครับ

"ผู้นำที่มีคุณธรรม"

เราไม่สามารถฝากอนาคตของเราไว้กับผู้นำที่มีคุณธรรม

คุณธรรมเป็นเพียงค่านิยมหนึ่งเท่านั้น

หากมีท่านที่ฉลาดล้นเหลือ ดีล้นเหลือ ถามว่าดีนั้น "ดี" ของใคร

ครั้งหนึ่งมีผู้นำแสนดี ซื่อสัตย์ เอาเงินงบประมาณ 3,500 ล้านบาท (ค่าเงินเมื่อ 20 ปีก่อน) ไปฝากออมสิน

ถึงเวลามาประกาศว่า ไม่มีใครโกงเลย ได้ดอกเบี้ยด้วย

งบพัฒนา !!! ไม่ใช้เลย

โอ คุณธรรม

เราอาจจะมีผู้นำเลวได้ แต่ต้องตรวจสอบได้

ไม่ใช่มีคุณธรรม แต่ตรวจสอบไม่ได้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท