วันที่ 4 ธันวาคม 2551
เป็นเช้าวันพฤหัสบดีสีแสด ผมยังอยู่ที่นครศรีธรรมราชครับ วันนี้ยังคงมีงานต้องทำอีกมาก คาดว่าคงถึงบ้านมืดทีเดียว ผมตื่นนอนขึ้นมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า ที่นี่ยังคงดูมืดๆ มองออกไปนอกหน้าต่างจากชั้นที่ 14 พบว่าไฟถนนยังคงไม่ปิด ผงมองเห็นหมองจางๆลอยอยู่ทั่วไปในเมืองนคร มองเห็นยอดพระธาตุอยู่รำไร แต่นั่นคงไม่ใช่อุปสรรคที่ผมจะยกมือขึ้นไหว้พระธาตุเมืองนครฯ รู้สึกดีครับ
อาหารมื้อเช้าของโรงแรมดอกบัวคู่ที่ผมเลือกกินก็คือ ข้าวยำ
ข้าวยำเมืองนครฯนี่ไม่เหมือนใคร เพราะที่นี่เป็นข้าวยำเครื่องแกง ที่อื่นๆเราอาจจะเห็นข้าวสวย คลุกด้วยกุ้งแห้งป่น มะพร้าวคั่ว ผักต่างๆ ตามด้วยน้ำบูดู แต่ของเมืองนครฯเขาจะมีเครื่องแกงมาคลุกข้าว รสเค็มๆ หอมกว่าน้ำบูดูมากครับ อันนี้เป็นอะเมซิ่งของที่นี่
8.30 น. ล้อรถก็หมุนอีกครั้ง เราเริ่มต้นกันที่โรงพยาบาลค่ายวชิราวุธครับ
โรงพยาบาลค่ายวชิราวุธ
เมื่อขับรถมาตามทางถนนอ้อมค่าย เลี้ยวซ้ายผ่านประตูค่ายทหาร เข้าไปตามทาง ผ่านอนุเสาวรีย์จ่าดำ บุคคลสำคัญของวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ซึ่งเป็นวันที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบ้านเราอย่างไรเล่าครับ ที่นี่เป็นจ่าดำ ที่สุราษฎร์ธานีบ้านผมต้องอาจารย์ลำยอง ครูที่พาลูกเสือไปยิงญี่ปุ่น ที่ชุมพรก็คงเป็นยุวชนทหาร (เปิดเทอมไปรบ)
ที่โรงพยาบาลค่ายฯในวันนี้ เราจะมีอาจารย์ท่านหนึ่ง มาจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งในอนาคต ทางแพทยสภาจะให้ทางโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นผู้ตรวจเยี่ยมและประเมินโรงพยาบาลในสังกัดทหารเอง ดังนั้นวันนี้ท่านจึงมาร่วมประเมินกับเราไปด้วย
คุณหมอท่านที่เป็นคนรับผิดชอบอินเทิร์นได้กล่าวบรรยายสรุปสั้นๆเกี่ยวกับโรงพยาบาลทั้งหมด ที่นี่มีอินเทิร์น 2 คน ซึ่งจบมาจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎ มีหมอครบทุกแผนก เพียงแต่ว่าตอนนี้หมอสูติกำลังไปเรียนต่ออะไรสักอย่างหนึ่ง คุณหมอใหม่ที่นี่ไม่ต้องออกไปโรงพยาบาลชุมชนที่อื่น เวลาว่างอีก 2 เดือนที่เหลือก็เป็นวิชาเลือกที่เขาสนใจ
ตลอดเวลาที่คุยกันนั้น ผมสังเกตเห็นว่า น้องทั้ง 2 คนค่อนข้างเกร็งเล็กน้อย เข้าใจว่าคงเป็นเพราะมีท่านอาจารย์จากพระมงกุฎมานั่งอยู่ด้วย การเป็นทหารทำให้เขาเกรงกระมัง แต่เมื่อใช้เวลาไปสักพัก บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลาย เขาจึงกล้าพูดมากขึ้น ซึ่งเราก็พบว่า น้องอินเทิร์นอยู่ที่นี่ด้วยความสุขกายสบายใจดี ที่พักและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีครบครัน อยู่เวรราวๆ 15 วันต่อเดือน แต่เพื่อนคนที่ว่างก็มักจะมาช่วยเหลือได้เสมอเมื่อมันยุ่งสุดตัว แต่ธรรมชาติของโรงพยาบาลค่ายก็คงไม่ยุ่งเท่าโรงพยาบาลมหาราชนครฯหรอก ใช่ไหมครับ ดัชนีชี้วัดความสุขของน้องที่นี่คือ 9 เต็ม 10
ถึงเวลาคุยกับหมอรุ่นพี่ หมอทหารวัยหนุ่มเกือบทุกคน (ยกเว้นผ.อ.โรงพยาบาล) น่าแปลกใจเล็กน้อยที่พบว่า หมอเกือบทุกคนสวมแว่นตาทั้งนั้น ฮ่า ฮ่า เรื่องที่คุยก็มีไม่มาก เพราะว่าเราแทบไม่พบปัญหาอื่นๆ การที่ที่นี่มีคนไข้ไม่มากจนเกินไป ทำให้หมอใหม่ไม่ยุ่งมากนัก มันทำให้มีเวลาที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมได้มากกว่าการที่มีคนไข้มากจนเกินไป ที่เมื่อเลิกงานก็ต้องนอนอย่างเดียว จากนั้นเวลาที่เหลือก็มานั่งฟังท่านอาจารย์เล่าให้ฟังถึงระบบของการเรียนการสอนที่พระมงกุฎ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ๆที่ผมไม่เคยทราบมาก่อน เลยสนุกกันใหญ่ คุยกันจนเที่ยง ทางโรงพยาบาลจึงถือโอกาสเลี้ยงข้าวเที่ยงซะเลย อร่อยเสียด้วยสิครับ
เราออกเดินทางต่อไปในเวลาเกือบบ่ายโมง เราจะไปโรงพยาบาลสิชลกันครับ เมื่อดูเวลาก็คาดว่าน่าจะไปถึงก่อนเวลาเล็กน้อย ดังนั้นจึงวางแผนจะไปซดกาแฟกันที่หน้าโรงพยาบาลท่าศาลา เห็นเขาว่าอร่อย แต่พระเจ้าก็ไม่เข้าข้าง เพราะว่าร้านปิด และดูไปดูมาก็ไม่มีวี่แววว่าจะเปิดเวลาไหน สงสัยเจอภัยน้ำท่วม เราจึงไปสิชลกันต่อ และเมื่อเข้าถึงตัวเมืองก็มองหาร้านกาแฟกันใหญ่ มองไปทางไหนก็หาไม่เจอ มีอยู่ร้านหนึ่งดูดี แต่มันดันเลิกขายกาแฟไปเสียเฉยๆ คงนึกภาพออกนะครับ ว่าคนแก่หลายคนจะลงแดงพร้อมกันนั้นเป็นอย่างไร ฮ่า ฮ่า
โรงพยาบาลสิชล
ที่โรงพยาบาลสิชล เราไม่ได้พบกับผ.อ. เพราะท่านติดประชุมอยู่ คุณหมอเอกรัฐ รุ่นน้องผม 3 ปีออกมาต้อนรับ เขาเป็นผู้ที่ดูแลน้องอินเทิร์นที่นี่ เขาได้เตรียมเอกสารต่างๆออกมาให้เราดู ก็พบว่าน่าประทับใจอย่างมาก น้องๆที่นี่ต้องทำและเข้าร่วมกิจกรรมวิชาการทุกสัปดาห์ รวมทั้งกิจกรรมขององค์กรแพทย์ด้วย ต้องบอกว่าอันนี้โดดเด่นที่สุดตั้งแต่ผมไปตรวจเยี่ยมมาแล้ว 3 แห่ง
โรงพยาบาลสิชลมีอินเทิร์น 5 คน แต่ตอนนี้อยู่เพียง 3 คน เพราะอีก 2 คนนั้นหมุนเวียนไปโรงพยาบาลชุมชน (กว่า) ที่นี่ไม่มีหมอสูติ เพราะเขากำลังส่งไปเรียนต่ออยู่ ดังนั้น น้องต้องไปหมุนเวียนวอร์ดสูติฯที่โรงพยาบาลทุ่งสง ในการพูดคุยกับคุณหมออินเทิร์นทั้ง 3 คนก็พบว่า เขามีความสุขดี ดัชนีชี้วัดความสุขอยู่ที่ 8 คะแนน งานก็ยุ่ง แต่ก็ไม่รัดตัวมากมายเท่าที่มหาราช เวรก็ยุ่งบ้างเบาบ้างสลับกันไป แพทย์พี่เลี้ยงดูแลพวกเขาอย่างดี ตามง่ายและไม่ดุ แต่ปัญหาที่น้องเขาคิดว่ายุ่งยากใจที่สุดนั่นก็คือไม่มีน้ำดื่มสะอาด ต้องไปซื้อเป็นขวดๆมาดื่ม
เมื่อถึงเวลาที่แพทย์รุ่นพี่เข้ามา ผมก็สะดุดใจ เพราะว่าท่านทั้งหลายล้วนเป็นรุ่นน้องของผมทั้งนั้น พูดได้เลยว่า กว่าร้อยละ 90 เป็นหมอที่จบมาจาก ม.อ. จะมีที่อายุมากกว่าผมก็น่าจะ 2 คน ซึ่งก็จบจาก ม.อ.เช่นเดียวกัน
เขากำลังขยายการบริการของโรงพยาบาล มีการสร้างตึก วางแผนการขยายวอร์ด ICU ดูแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ลำพังหมอเพียงไม่กี่คนที่นี่จะดูแลกันไหวเหรอ แต่เขาก็มีการเตรียมบุคคลากรไว้แล้ว มีการส่งหมอไปเรียนต่อในสาขาต่างๆซึ่งกำลังจะทยอยกลับมาในปีหรือสองปีนี้
ลืมบอกไปว่า โรงพยาบาลสิชลต้อนรับเราด้วยน้ำมะพร้าวอ่อนครับ เขาไม่บริการกาแฟ เพราะเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (ผมว่ากระทรวงสาธารณสุขนี่ท่าทางจะบ้าหนัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าการดื่มกาแฟมันไม่ส่งเสริมสุขภาพตรงไหน มัวแต่คิดเรื่องแค่นี้จริงๆ) แต่ก็ยังมีคนแอบไปเอากาแฟซองมาให้ด้วย ฮ่า ฮ่า แต่ผมไม่ดื่มหรอก เสียสุขภาพเปล่าๆ ก็กาแฟซองนั้น รู้ทั้งรู้ว่าน้ำตาลมากขนาดไหน ไม่เชื่อก็ลองไปอ่านข้างซองดูสิครับ แต่นั่นก็เพราะว่าผมมีแผนสองน่ะสิ
เราบอกลาทุกๆท่านราว 4 โมงเย็น ผมเสนอว่าควรจะหยุดพักรถที่ท่าศาลา เพื่อดื่มกาแฟอร่อยที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. ร้านกาแฟอะเมซอน ผมดื่มหลายครั้งแล้ว อร่อยดีมากเลยนะครับขอบอก (โดยปราศจากค่าโฆษณา) แต่ปัญหาของร้านนี้ก็คือว่าคนขายเธอมีความจำสั้นเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อคน 9 คนต่างรุมสั่งกาแฟ ผมจึงต้องเป็นผู้กำกับรายการชงครับ เรียกว่ายืนคุมและสั่งแก้วต่อแก้ว สนุกดีออก คนขายก็กลับชอบ เพราะว่าเธอไม่ต้องจำให้เหนื่อยสมองว่างั้นเถอะ ร้านนี้มีข้อเสียนิดเดียวก็คือ หากจะสั่งกาแฟเย็น ควรระบุและเตือนทุกครั้ง (เพราะขี้ลืม) ว่าไม่หวาน
ห้าโมงเป๊ะเราก็ออกเดินทาง คราวนี้พี่คนขับรถพาเราเข้าทางลัด เมื่อผ่านมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ไปสักครู่ก็จะพบกับ 4 แยกใหญ่ๆหน่อย จึงเลี้ยวขวาเข้าไปทางที่เขาบอกว่า ไปแหล่งโบราณสถานโมคลาน ขับไปเรื่อยๆ ดูข้างทางไปเรื่อยๆ เรียกความตื่นตาผมพอใช้ เนื่องจากว่าไม่เคยผ่านทางนี้มาก่อน อีกทั้งสภาพบ้านเรือนก็ดูเก่าแก่ มีเตาเผาอิฐมากมายรายทาง พื้นที่รอบบ้านเป็นทรายสีขาวๆ ชวนให้นึกถึงเกาะสมุยยิ่งนัก และราว 20 นาทีเราก็มาโผล่ที่หน้าสนามบินนครศรีธรรมราช
รถเราวิ่งทางสายในครับ คือขับออกมาทางเชียรใหญ่ หัวไทร ระโนด สทิงพระ อย่างไรเล่าครับ และเราก็ถึงบ้านเมื่อเวลา 2 ทุ่ม ตามเวลาท้องถิ่น
นี่เป็นครั้งแรกของการตรวจเยี่ยมสถาบันฝึกอบรมแพทย์เพิ่มพูนทักษะ หรือที่เรียกว่าอินเทิร์น ได้พบความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า สมัยก่อนเมื่อตอนเราเป็น extern นั้น ทำงานหนักกว่าน้องอินเทิร์นสมัยนี้นัก แต่ก็แปลกที่ว่า ถึงแม้จะเหนื่อยหนัก แต่กลับมีความสุขและหาความสุขได้อย่างง่ายดาย อาจารย์ที่ทำงานด้วยกันก็มีน้อยคนกว่าตอนนี้มาก ก็ยังรู้สึกว่าความสนิทสนมคุ้นเคยกับอาจารย์ช่างใกล้ชิดกันกว่านี้ แต่นี่ก็เป็นเพียงความรู้สึกคาดเดาของคนรุ่นผม ซึ่งตอนนี้เด็กๆอาจจะเรียกว่ารุ่นเก่าไปแล้วก็ได้ แต่สาบานได้ครับ ว่ากว่าจะเรียนจบมานี่ เหนื่อยกว่าน้องๆเขาจริงๆ
เจริญพร ธนพันธ์
แวะมาอ่าน
ตามพระคุณเจ้า พระมงคล มงคล ถิรวุฒิมา อ่านหมอบันทึกหมอ ยามดึกได้ความรู้ คู่ปัญญา ดีครับ
อ.หมอแป๊ะเขียนได้เพลิดเพลินจังเลยค่ะ ดูเหมือนเรื่องยาวแต่อ่านแป๊บเดียวก็จบซะแล้ว อ่านแล้วอยากรู้ว่า "ดัชนีชี้วัดความสุข" นี่เขาวัดยังไงคะ ขอความรู้เพิ่มเติมหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ได้เข้ามาอ่านบันทึก
รู้สึกดีครับ การพักผ่อนที่เป็นการทำงาน
ขอชื่นชมครับ
นมัสการครับ พระ มงคล มงคล ถีราวุฒิ
สวัสดีครับ บังหีม--ผู้เฒ่าnatachoei-- (อ่านว่าหน้าตาเฉย หรือ เชย ครับ)
พี่โอ๋
ดัชนีชี้วัดความสุขผมประเมิน 2 แบบครับ
แบบแรกง่ายสุด ถามเขาเลย ให้เท่าไหร่ เต็ม 10 นะครับ
แบบที่สองดูหน้าครับ อันนี้ซับซ้อนเล็กน้อย เพราะดูใบหน้า สีหน้าท่าทาง ดูริ้วรอยบนใบหน้า ดูกิริยาท่าทางที่เขาแสดงออก ที่เขาพูดคุยกับเรา อันนี้ผมว่าแม่นกว่าแบบแรกนะพี่
คุณธานีครับ
รู้สึกดีมากเลยนะครับ ที่ได้เที่ยวไป ทำงานไป ไปเจอะเจอลูกศิษย์ ทราบว่าเขาอยู่ดี นี่เป็นสุขเลยครับ
สวัสดีครับอาจารย์
ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้แวะไปชะอวดด้วยหรือไม่
ผมไปใช้ทุนที่ชะอวดมา 2ปี ปัจจุบันย้ายกลับมากทม.แล้ว
อยู่ไม่ไหว เครียดเหลือเกิน เพราะเคส PPH ที่นี่ชุมกว่าdengueเสียอีก
(ขอฟ้อง)
สวัสดีครับ ฝุ่นสีฟ้าไม่ได้ไปครับ เพราะเส้นทางที่เราไป คือโรงพยาบาลที่รับแพทย์เพิ่มพูนทักษาะครับ ก็มี สิชล ทุ่งสง มหาราช และรพ.ค่ายฯครับ
เดี๋ยวนี้ความเครียดสูงอยู่แล้วครับ คนไทยตายฟรีไม่ได้ ขอฟ้องไว้ก่อน