ศึกษาดูงานประเทศญี่ปุ่น(๒)


๒๕  พฤศจิกายน  ๒๕๕๑

เรียน  เพื่อนครู ผู้บริหาร ที่เคารพรักทุกท่าน

วันเสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน  ๒๕๕๑  ตื่นเช้าอาบน้ำแต่งตัวจัดกระเป๋าอีกรอบ ลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม มีทั้งอาหารญี่ปุ่นและอาหารฝรั่ง  วันนี้ผมทานทั้งสองแบบ เรียกว่าเลือกเอาที่ตัวเองชอบเป็นหลัก ที่ขาดไม่ได้คือปลาแซมมอลอบเกลือกับข้าวญี่ปุ่น  จบด้วยกาแฟดำ วันนี้เดินทางไปเมืองมัตสึโมโตะ จังหวัดนากาโน ในตัวเมืองทาคายามาปกคลุมไปด้วยหิมะแต่ไม่หนาเหมือนที่เจอเมื่อวาน เส้นทางที่ไปเมืองมัตสึโมโตะเป็นภูเขาและหุบเหวรถจึงวิ่งข้ามเหวมุดเขาไปตามเส้นทางสะพานและอุโมงตลอดเวลาสองข้างทางปกคลุมไปด้วยหิมะตั้งแต่ยอดไม้ลงมาจนถนนหนทาง ใช้เวลา ๒ ชั่วโมงจึงถึงตัวเมือง ในตัวเมืองไม่มีหิมะให้เห็นเพราะอยู่นอกเขตภูเขาสูง พวกเราได้เข้าชมประสาทสีดำหรือประสาทอีกาที่สร้างเมื่อ ค.ศ. ๑๕๐๔ เป็น ๑ ใน ๕ ประสาทของญี่ปุ่นซึ่งรอดพ้นจากเพลิงและการถูกทำลายจากสงครามมาได้จนปัจจุบัน  ตัวประสาทมีผนังทาสีดำสนิท สามารถขึ้นไปชมข้างบนได้ทุกชั้น  แต่ต้องเอารองเท้าใส่ถุงหิ้วไปด้วย ภายในอาคารจัดแสดงอาวุธและเครื่องใช้ของโชกุนในสมัยโบราณ  อากาศหนาวเย็น แต่ก็พอทนได้  เที่ยงพวกเราทานข้าวกันที่ภัตตาคารในตัวเมือง แต่ต้องเดินขึ้นไปชั้นที่ ๓ บ่ายมีการเปลี่ยนโปรแกรม โดยจะขึ้นไปชมภูเขาไฟฟูจิในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้ไกด์คาดว่าจะมีผู้คนหลั่งไหลกันไปมากเพราะเป็นวันหยุดจะเสียเวลา พวกเราไม่ขัดข้องอยู่แล้ว เราใช้เวลาเดินทางจากเมืองมัตสึโมโตะไปยังภูเขาไฟฟูจิซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๔ ชั่วโมง รถวนขึ้นภูเขาไปเหมือนตัว S หากมองลงไปข้างทางก็เป็นที่หวาดเสียวไม่น้อย ไปจนถึงชั้นที่ ๕ ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายที่อนุญาตให้ขึ้นได้เกือบ ๔ โมงเย็น ความหนาวเหน็บบนความสูง ๓,๗๗๖ เมตรหรือเกือบ ๔ กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เราเห็นเมฆหนาทีบลอบอยู่ด้านล่างของเรา   อุณหภูมิประมาณลบ ๑๐ องศาเซนเซียส เดินไปไหนทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแข็งตาย  กล้ามเนื้อจับกันแข็งก้าวย่างแต่ละก้าวช่างเจ็บปวดเหลือเกิน จับชิ้นส่วนของร่างกายรู้สึกว่าชาและหนาขึ้นเหมือนกำลังแบกก้อนน้ำแข็ง แต่เมื่อเข้าในอาคารมีเตาไฟฟ้าให้ผิง  มีของขายมากมายแต่ก็เหมือนกับแหล่งอื่น ๆ  ต้องยกย่องญี่ปุ่นในเรื่องของการกำหนดราคา  สินค้าชนิดเดียวกันวางขายทุกแห่งราคาเท่ากัน ไม่มีรายการเจ็บใจเหมือนไปลาวไปเวียดนามที่ราคาไม่คงที่คงวาเอาเสียเลย ห้องน้ำที่นี่มีกล่องให้หยอดเหรียญ ไกด์บอกว่าหากเป็นกลางวันอากาศดี ๆ จะมองเห็นทะเลสาปทั้งห้ารอบภูเขาไฟฟูจิได้สวยงาม และบางครั้งมองไปเห็นเมืองโตเกียว อากาศบนภูเขาแห่งนี้แปรปรวนมาก บางครั้งก็ดูสว่างไสวจากแสงดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า บางครั้งก็มีเมฆหนาทึบมาปกคลุมจนมองอะไรแทบไม่เห็น อุณหภูมิจะลดลงรวดเร็วมากจนคิดว่าหากถูกปล่อยทิ้งไว้บนภูเขาไฟแห่งนี้ คงต้องตายแน่ ๆ   ลงจากภูเขาไฟฟูจิพวกเรามาพักที่โรงแรม SINKO  เมือง Higashi-Yatsushiro  เป็นโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นคือเอาที่นอนปูกับพื้น ไม่มีเตียง  มีโต๊ะรับแขกแบบนั่ง  ห้องน้ำกับห้องส้วมแยกกัน  มีอ่างน้ำแร่ให้แช่ฟรี  ด้านหลังโรงแรมมีสวนน้ำสวนหินแบบญี่ปุ่นที่สวยงาม  ไปทานอาหารเย็นก็ต้องแต่งชุดยูกะตะเหมือนกัน  มื้อนี้มีขาปูก้ามใหญ่ ๆ ให้กินไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องกินให้แล้วเสร็จภายใน ๔๐ นาที นอกนั้นก็เป็นอาหารญี่ปุ่นประเภทปิ้ง ๆ ย่าง ๆ  อิ่มแล้วก็กลับขึ้นห้องพักจัดกระเป๋าเดินทางซึ่งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทุกวัน  ดูทีวีญี่ปุ่นฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็ดูภาพเอา หลับได้ไม่ยากนักเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง

วันอาทิตย์ที่ ๒๓  พฤศจิกายน  ๒๕๕๑  หลังอาหารเช้าที่โรงแรมรถนำพวกเราไปชมไร่วาซาบิ ซึ่งสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิในมุมมองที่สวยงามยามเช้า เส้นทางผ่านเรือกสวนไร่นาแบบญี่ปุ่น บ้านเป็นแบบชนบทตลอดเส้นทาง  ต้นวาซาบิ มีกลิ่นฉุนขึ้นจมูก เหมือนมัสตาทเวลาเรากินปลาดิบ เป็นผักเล็ก ๆปลูกในแปลงคล้าย ๆผักกวางตุ้งแช่อยู่ในน้ำ เขานำใบไปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารได้มากมาย   ไร่ที่ไปดูวันนี้มีการขุดร่องขึ้นมาปลูกในเนื้อที่ไม่เกิน ๒ งาน แต่ตัวร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหญ่โต มีสารพัดสินค้า แต่หนักไปอาหารการกินที่ปรุงด้วย วาซาบิ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ ด้วย  สาย ๆ เดินทางเข้ากรุงโตเกียว วันนี้และพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของญี่ปุ่น ถนนฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นขาออกนอกเมือง  รถติดกันระนาวยาวหลายกิโลเมตร และต่อเนื่องกันไปจนถึงโตเกียว  เข้าเขตโตเกียวจะพบแต่ตึกสูง ๆ ใหญ่ ๆ ต้นไม้ไม่ค่อยมี อุณหภูมิประมาณ ๑๐ องศาเซนเซียส  รถพาพวกเราวนชมตัวเมืองไปทั่ว รวมทั้งพระราชวังอิมพีเรียลที่มีคูน้ำใหญ่โต ต้นซากูระมีใบสีเขียวสดเป็นรั้วรอบพระราชวังแห่งนี้ หากเป็นฤดูออกดอกคงเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับผู้พบเห็น  พวกเราลงเดินดูสินค้าที่ร้าน Donki เป็นสินค้าหลาย ๆ ประเภทเหมือนแถวมาบุญครอง และรับประทานอาหารกลางวันในชั้นใต้ดิน เป็นอาหารแบบบริการตัวเองปิ้ง ๆ ย่าง ๆ มีเนื้อวัวเนื้อหมูและผักให้ย่าง  กลางโต๊ะเป็นเตาย่างเปิดไฟไว้  อาหารสำเร็จก็มีให้เลือกทั้งญี่ปุ่นและฝรั่ง   บ่ายเดินทางสู่ย่าน ชินจูกุ เป็นแหล่งซื้อขายที่เจริญของโตเกียว มีห้างสรรพสินค้าจำหน่ายสินค้าแต่ละประเภทเรียงรายกันไปในตึกต่าง ๆ มากจนต้องใช้แผนผังจึงจะหาถูก   อากาศในโตเกียวไม่หนาเหมือนที่ผ่านมา  จึงสามารถเดินได้แบบสบาย ๆ กลางคืนประมาณ ๕ องศาเซนเซียส ผมเดินดู Notebook ของ DELL ขนาดเล็กที่ลดราคาเหลือ ๕,๐๐๐ บาท (๑๔,๐๐๐ เยน)  ตกลงใจจะซื้อแต่เป็นภาษาญี่ปุ่น มีความจุฮาร์ดดิสเพียง ๘ G เลยเปลี่ยนใจหากหิ้วกลับมาจะสร้างปัญหาให้มากกว่าซื้อเมืองไทย   คืนนี้พวกเรากลับออกจากโตเกียวไปพักที่เมืองนาริตะ ใกล้สนามบินนาริตะที่จะเดินทางกลับ โรงแรม Garden Hotel Narita ทานอาหารเย็นที่โรงแรม ก่อนนอนก็จัดกระเป๋าเดินทางอีก ๑ รอบ

วันจันทร์ที่ ๒๔  พฤศจิกายน  ๒๕๕๑  ทานอาหารเช้าที่โรงแรมมีให้เลือกทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบฝรั่ง  ผมก็ทานแบบเดิมข้าวสวยญี่ปุ่นกับปลาแซมมอลอบเกลือ จบด้วยกาแฟดำ  พวกเราไปชมวัดนาริตะซันกันตั้งแต่เช้า ความจริงสามารถมองเห็นหลังคาวิหารของวัดนี้ได้จากโรงแรมเพราะอยู่บนเนินเขา กลางเมืองนาริตะ  เขาว่าวัดนี้คนศรัทธากันมากโดยเฉพาะหลวงพ่อฟุโดเมียวอันศักดิ์สิทธิ์ ตลอดเส้นทางไปวัดทั้ง ๒ ฝั่งถนนมีร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองให้เลือกซื้อเลือกชมได้ ฝั่งซ้ายบนเนินเขาเป็นป่าไผ่ญี่ปุ่นที่ใบดกกว่าไผ่บ้านเราดูเขียวเย็นตา เมื่อซื้อของเสร็จ เวลาจะกลับเจ้าของร้านและคนขายจะมายืนเข้าแถวโค้งคำนับส่งแขกข้างรถตามธรรมเนียมญี่ปุ่น เป็นที่ประทับใจกับคนที่เสียเงินซื้อของยิ่งนัก  แหล่งซื้อของสุดท้ายในเมืองนาริตะเป็นห้างสรรพสินค้าเออวอน พลาซ่า หรือJusco Japan  มีสินค้าเป็นแผนก ๆ ไป ในเวลาจำกัดพวกเรามักไปจบที่ร้าน ๑๐๐ เยน ในร้าน ๑๐๐ เยนของส่วนใหญ่ราคา ๑๐๕ เยน ๕ เยนที่เกินมาเป็นภาษี  สินค้าที่ราคาสูงกว่าจะมีราคาบอกไว้  ผมสนใจไม้ดอกไม้ประดับที่วางจำหน่าย แต่ไม่สามารถนำเข้าประเทศได้ จึงได้แต่ดู   เที่ยงไปทานข้าวแบบช่วยตัวเองปิ้ง ๆ ย่าง ๆอีกแล้ว ชั้นล่างเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าประเภทอาหารแบบซุปเปอร์มาร์เก็ต  มีสินค้าไทยประเภทกะทิสำเร็จรูป น้ำปลา น้ำพริกแกงวางจำหน่ายด้วย  พวกเราถึงสนามบินนาริตะจัดการกับกระเป๋าเดินทางอีกหนึ่งรอบ ก่อนส่งโหลดลงเครื่องบิน ผ่านการตรวจของ ตม.ญี่ปุ่น มีเวลาเดินเที่ยวและซื้อของในร้านค้าปลอดภาษีได้ ๒ ชั่วโมง สินค้าเป็นขนมที่เคยเห็นในร้านค้าทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นเครื่องสำอางที่มีจำหน่ายเป็นแผนก ๆ ไป ได้เวลาเดินทางกลับเป็นเที่ยวบินที่มีผู้โดยสารแน่นมาก ใช้เวลาเดินทาง ๖ ชั่วโมง ๔๕ นาทีก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา ๒๒.๔๕ น.  จบรายการ Japan Tour  ของธนาคารออมสินกับสพฐ. ในปีนี้

กำจัด  คงหนู

ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพชรบุรี เขต ๒

คลิก!ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ ๑

หมายเลขบันทึก: 225750เขียนเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2008 06:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ได้ความรู้ดีครับ..นับเป็นประสบการณ์ตรงที่คุ้มค่า ขอขอบคุณมากที่เล่าสู่กันฟัง..ฮิฮิ หวังจะได้อ่านเรื่องดี ดี อีกนะครับ

เป็นประสบการณ์ในชีวิตของท่านท่องเที่ยว1000ลี้ดีกว่าอ่านหนังสือเป็นเล่มได้นำประสบการณ์มาเผยแพร่ให้ทุกคนได้ทราบเรียบเรียงถ้อยคำง่ายต่อการสื่อสารมองเห็นภาพพจน์และสถานที่จริงผมไม่ได้ไปคล้ายๆกับได้ไปโลกยังกว้างที่จะให้เราได้ศึกษาเพราะโลกเป็นสมบัติของเราดีใจกับท่านที่ได้รับประสบการ์ตรงและประหยัดค่าใช้จ่าย

ผมต้องหาโอกาสไปบ้างแต่ต้องเลือกที่อากาศไม่เย็นขนาดลบ10เพราะถ้าขนาดนั้นคงไม่สนุกแต่อาจกลับมาไข้เสียโอกาสต่างก็ได้ดีใจกับท่านขอให้ท่านมีความสุข

ฮ่าๆๆ มิน่าละเงียบๆๆไป ท่าน ผอ ไปญี่ปุ่นนี่เอง นึกว่ากลับบ้านเราไม่ได้ ถูกปิดสนามบิน แต่กลับมาแล้วโชคดีหน่อย อิอิๆๆ

ดีจังอาได้ไปประเทศญี่ปุ่น ได้นำเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง

โชคดีนะค่ะ กลับมาทันไม่งั้นต้องอยู่ต่อญี่ปุ่นแน่เลยเพราะสนามบินโดนปิดแล้ว

สู้ๆๆ นะค่ะอา ไปอยู่ที่เพชรแล้ว ไกลเชียว ขอส่งใจไปช่วยนะค่ะ

ได้อ่านเรื่องเล่า ที่บรรยายได้อย่างไพเราะของท่านแล้วค่ะ บอกได้เลยว่า ดีทุกตอน

ทุกเรื่อง ทำให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่า ได้ร่วมเดินทางไปด้วย เก็บรายละเอียดมาฝาก

ผู้เยี่ยมชมได้มากจังเลย แถมมีรูปให้ดูอีกด้วย นอกจากเป็นนักเล่านิทานที่แต่ละเรื่องล้วน

เตือนจิตใจผู้ฟังและเรียกเสียงฮา...เป็นประจำโดยเฉพาะเวลาประชุม ยังเป็นนักเขียน

ที่ทำให้คนในวงการเป็นแฟน....อ่าน ที่ว่างยามใดก็อดไม่ได้ ต้องแวะเวียนเข้า

ทักทายท่าน

ขอบคุณครับที่มาเล่าให้ฟัง

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท