อัมพวา (ที่ฉันได้สัมผัส)


บรรยากาศเงียบสงบที่แสนมีสเน่ห์

ติดประชุมพอดีเดี๋ยวกลับมาบันทึกครับ

ขออภัยครับที่ทำให้ความตั้งใจเก้อไปหลายท่าน

          ขอเริ่มท้าวความก่อนครับว่า เหตุการณ์และความประทับใจผ่านมาประมาณ 2 ปีแล้วครับ แต่เรื่องราวยังอยู่ในความทรงจำและบอกเล่าความสุขปนความหวาดหวั่นพลั่นพลึงมาตลอด  คือ    เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ผมได้รับไปช่วยจัดกิจกรรมสันทนาการ ระหว่างการจัดกิจกรรม ค่ายโครงการพัฒนา อัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (JSTP) โดย  ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. กระทรวงวิทยาศาสตร์

          ในครั้งนั้นเป็นโครงการที่เค้าให้เด็กๆ ไปดูไปเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่อัมพวา  หลังจากที่มีพิธีเปิดโครงการที่ ห้องประชุมใหญ่ ที่ สวทช.(ข้างมหาวิยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต)  เรียบร้อย พวกเราก็พาเด็กๆ ขึ้นรถโค้ชปรับอากาศเดินทางมุ่งสู่อัมพวาในทันที  บรรยากาศบนรถ ส่วนใหญ่ก็จะปล่อยให้เด็กๆ ได้พักผ่อน เพราะเด็กๆ ได้รับคัดเลือกมาจากทั่วประเทศทำให้วันก่อนเริ่มค่ายน้องๆ ต้องเดินทางมาเกือบทั้งคืน เราจึงปล่อยให้น้องๆ พักผ่อนอย่างเต็มที่  ตอน เกือบเที่ยงเราจึงได้แวะรับประทานอาหารกลางวัน ที่ร้าน(จำชื่อไม่ได้)ซึ่งอาหารอร่อยมาก  แล้วจึงเดินทางต่อ ใช้เวลาไม่นานนัก ขบวนคาราวานของเราก็ได้มาถึงที่พัก และ จัดกิจกรรมตลอด 2 วันนี้ ลืมขยายความเรื่องโครงการอีกหน่อย หลังจาก 2 วันแรก ผ่านไป น้องๆ ต้องกลับไปที่ สวทช. แล้วต่อไปจากนั้นอีกหลายวันน้องๆ ต้องไปเรียนรู้กับท่านนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ ในมหาวิทยาลัย หน่วยงาน องค์กรต่างๆ และจะมีกิจกรรมต่อเนื่องอีกเป็นปีจนสามารถคัดน้องที่พร้อมจริงๆ รับทุนเพื่อเรียนต่อและกลับมาเป็นนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีทุนถึงปริญญาเอก เลยที่เดียว

         เอาล่ะ กลับมาที่อัมพวาดีกว่า เมื่อถึงที่พัก แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้ว ซึ่งชื่อของโฮมสเตย์ที่โครงการเลือกพาน้องๆ ไปพักนั้นชื่อ "บ้านคุณสิ" ฟังดูก็ไม่แปลกหากว่าคนอ่านไม่รีบอ่านเกินไปจนแอบใส่อารมณ์ในคำชื่อนั้นจนออกเสียงเป็น "บ้าน ! คุณสิ๊ !" ลองออกเสียงดูนะครับ หลังจากพักผ่อนกันสักครู่ใหญ่ ก็มาถึงหน้าที่ของเราแล้วครับ อย่างที่บอกไว้แต่ตอนต้น พวกเรามาทำงานสันทนาการครับ อ้อ..และที่บอกว่าพวกเรา เพราะในทีมผมไม่ได้มาคนเดียว เรามากัน 3 คน ประกอบด้วยผม และเพื่อนรุ่นพี่อีก 2 คน คือ พี่นพ และ พี่ตู๋ครับ

          หลังจากที่ทุกคนได้พักผ่อนกันมาก็ถึงเวลาที่ทุกคนต้องได้ทำความรู้จักกันอย่างจริงจัง โดย น้องๆ กว่า 50 คนต้องทำกิจกรรมร่วมกันตามที่พวกผม เตรียมมาให้เพื่อพวกเค้า ลืมบอกอีกนิดว่าในทีมของเรา แบ่งหน้าที่กันดังนี้ 

ผมมีหน้าที่เซตกิจกรรมที่จะใช้ส่วนใหญ่ก่อนที่จะให้อีก 2 คนช่วยปรับปรุง พร้อมด้วยการเตรียมอุปกรณ์ เพราะอุปกรณ์ส่วนใหญ่ หรือเรียกว่าทั้งหมดก็ได้เก็บไว้ที่บ้านผมเอง

พี่นพ (หรือที่เราเรียกว่าพี่ สันฯ รัตนโกสินทร์ เพราะแกเป็นคนที่พูดจาได้สุภาพมากๆ หรืออาจบอกได้ว่าเป็นคนที่โคตรให้เกียรติคนอื่นเลยก็ว่าได้) ซึ่งแกจะทำหน้าที่ สร้างสีสรรค์ในสการใช้วาทะได้อย่างน่าสนุกแต่สุภาพสุดๆ แบบมีสไตล์เป็นส่วนตัว ที่จริงแล้วผมกับพี่นพ มีหน้าที่นำกิจกรรม

ส่วน พี่ตู๋ หน้าที่หลักของแกก็เป็นไปตามความสามารถของแก ที่พวกเราจะเรียกว่า ตู๋จ๋า กลองเทวดา หรือก็คือคนให้จังหวะ เร้าความสนุก สร้างบรรยากาศ หรือเป็นมือกลองนั่นเอง แต่ที่เราเรียกพี่ตู๋อย่างนั้น เพราะแกสามารถตีได้ทุกเพลง เคาะได้ทุกจังหวะรูปแบบ แม้จะมีกลองแค่ใบสองใบ หรือ กระป๋อง กะละมัง ก็ยังได้  หากมีโอกาส ก็อยากชวนทุกคนมาเล่นกิจกรรม เคล้าเสียงกลองของพี่ท่านไปด้วย รับรองสนุกหาใดเทียม(ไม่เชื่ออย่านับถือ..เอ๊ย..อย่าลบหลู่) 

และทุกท่านก็ได้ทราบบทบาทหน้าที่ของพวกเราแล้ว ก็จะเล่าบรรยากาศให้ฟังซักหน่อย เริ่มต้นด้วยกิจกรรมง่ายๆ ปรบไม้ปรบมือ และ สร้างสัญลักษณ์ ให้ทุกคนได้ทำร่วมกันเพื่อสร้างพลังให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน และ เป็นการละลายพฤติกรรมไปด้วย จากนั้นก็เปิดโอกาสให้ทุกคนได้แนะนำชื่อ ทีละคนและตามด้วยการทักทายกันแบบตัวต่อตัว (มั่วนัวเนีย) นั่นคือให้ทุกคนเดินเข้าทักทายกันด้วย กิจกรรมสวัสดีนานาชาติ โดยอาศัยท่าทางและเอกลักษณ์ของชาตินั้นๆ เช่น ไทยไหว้ก่อนพูด ญี่ปุ่นเดินด้วยท่าก้าวขาช่วงสั้นติดๆกันแล้วคำนับ(ไห้!!) ก่อนทักทาย หรือ อินเดียที่ใช้ท่าเต้นแบบภาระตะเข้ามาทักทายกัน..อีนี้ฉานชือแมวจ้า.นายจ๋า (..ตุ้มหมู..ตุ้มหมู.) ต่อจากนั้นก็เป็นกิจกรรมแบบรวมกลุ่ม(กลุ่มสัมพันธ์) ด้วยการรำวงแบบไทยๆ ด้วยเพลงง่ายๆ สร้างบรรยากาศ แล้วท้ายเพลงเป็นคำสั่งใหเรวมกล่มแบบต่างๆ รอบ(เพลง)ละ 1 แบบ เช่น รวมกลุ่มตามเพศ (ถ้ามีเพศที่สามจะหฮามาก .. แล้วก็มีจริงๆ)  รวมกลุ่มตามวันเกิด(ให้พูดคุยทักทายกันแล้วลองหาตัวแทนบอกว่าเกิดวันเดียวกันเหมือนหรือต่างกันยังไง)  รวมกลุ่มตามลำดับการเกิด ใครเป็นลูกคนแรกรวมคนแรก ใครเป็นลูกคนที่สอง สาม สี่ หรือ เจ็ด ก็รวมตามลำดับนั้น(แล้วคุยกัน หาตัวแทนบอกถึงความเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ คิดอย่างไร) เพื่อเป็นการแลกปลี่ยนเรียนรู้ ความคิด หรือบุคลิกภาพของเพื่อน แต่ละคน จากนั้นเราก็ให้เข้ากลุ่มตามที่น้องๆ ได้ลงทะเบียนเอาไว้

          กิจกรรมหลังจากเข้ากลุ่ม  กิจกรรม Team Building ก็เริ่มขึ้นโดยพวกเราเซตเป็นกิจกรรมกีฬาพื้นบ้านฮาเฮ ด้วยกิจกรรมประยุกต์และการนำอุปกรณ์ - วัสดุธรรมชาติซึ่งเข้ากับบรรยากาศมาใช้ ก็สร้างสีสันพอสมควร  วิธีลงเล่นในแต่ละเกมกิจกรรม เราจะขอให้ส่งตัวแทน ตามจำนวนในแต่ละเกมกำหนด เช่นขอตัวแทนกลุ่มละ 4 คน เราก็ให้เค้าแข่งหนอนน้อยลมกรด ด้วยให้ตัวแทนกลุ่มทุกคน เข้าแถวแล้วนั่งลง เอาขาเกี่ยวคนหน้าเคลื่อนที่เมื่อได้ยินสัญญาณไปยังเส้นชัยโดยขาไม่หลุดจากเอว  เพื่อนๆ ส่งเสียงเชียร์กันลั่นเลยทีเดียว จากนั้นเราก็ให้เล่น ไถกระสอบ เนื่องจากเราเตรียมวิ่งกระสอบไว้แต่พื้นที่เราเป็นพื้นปูน เราจึงต้องป้องกันด้วยให้ตัวแทน ผลัดไถกระสอบ 4x25 นั่นคือ สี่คน ผลัดกันนั่งไถกระสอบในระยะทางคนละ 25 เมตร และยังมีอีกหลายเกม เช่น (วิ่ง)กินวิบาก, ปิดตาล่าสัตว์ ฯ

         หลังจากความบันเทิงสร้างสัมพันธ์หมดลง หน้าที่สำคัญของเราก็หมดลง เหลือแต่เพียงคอยช่วยดูแลสารทุกข์สุขดิบทั่วๆไปของน้องๆ  ทุกคนก็ได้รับฟังการปฏิบัติ หรือสิ่งที่จะเจอต่อไปในอีกหลายวัน  จากนั้นก็ได้ปล่อยน้องๆ แยกย้ายกันพักผ่อนอาบน้ำแล้วมาท่านข้าวพร้อมกัน ตอนเเวลาประมาณ 5 โมงครึ่ง  เมื่อเวลานัดหมายคืบมาถึงทุกคนก็พร้อมหน้า รับอาหารกันอย่างอิ่มหน่ำ และต่อจากนี้ไปก็จะเป็นความประทับใจด้วยบรรยายกาศของอัมพวาอย่างแท้จริงเสียที  คืนนี้กิจกรรมที่ทุกคนจะได้ทำคือ นั่งเรือไปอ้อยอิ่งชมหิ่งห้อย 

          เวลาประมาณทุ่มเศษ  เรือเครื่อง หรือ เรือหางยาวก็ทยอยกันจอดเทียบที่ ร่องน้ำที่ตั้งใจทำของ โฮมสเตย์ บ้านคุณสิ  หลายลำจนนับรวมได้ว่า 10 ลำ เพราะเรือส่วนใหญ่นั่งไดเพียงลำละ 6-7 คนเท่านั้นเอง  มีเพียง 2 ลำเท่านั้นที่นั่งได้ถึง 10 คน ส่วนลำที่ผมนั่งนั่งได้เพียง 5 คนเท่านั้นอาจเป็นเพราะผมนั่งลำนี้ หรือเปล่าก็ไม่รู้ เวลาคลืบไม่นาน เรือทุกลำก็ล่องเรื่อยอ้อยอิ่งออกจากท่าเรือ แล้วค่อยเร่งความเร็วขึ้น คลื่นน้ำแตกฟองซ่านซ่า ท้าทายผักตบและวัชพืชน้ำหลากพันธ์ เรือแล่นล่องอย่างเร็วเล้ยวซ้ายทีขวาที ผ่านวัดและบ้านช่องทรงโบราณยันบ้านทรงสมัย บางบ้างก็มืดสลัวบางบ้านสว่างไสว ดังคำเปรียบ"เปิดไฟอย่างกับวันเฉลิมฯ" จนระยะคลองไกลพอสมคสร เรือค่อยๆ ลดความเร็วจนบางลำถึงขนาดปิดเครื่องโดยไม่รู้สาเหตุ แต่สิ้นเสียงเรือและน้ำซ่าฟองสงบ ก็พลันได้แลเห็นแสงระยิบระยับ กระพริบเป็นจังหวะไม่เสมอกันนักแต่เมื่อดวงตาปรับแสงได้เป็นอย่างดีแล้ว จึงได้เห็นความงามของแสงธรรมชาติจากแมลงตัวน้อย นาม"หิ่งห้อย" มากมายนับหมื่นนับแสนตัวแปลงแสงแสดงศักยภาพของตนตามกำลัง เมื่อทอดสายตาตามแนวตั้งขึ้นไปบนต้นลำภู ก็ได้เห็นเจ้าแสงน้อยรวมตัวกันแต่แปลกที่เมื่ออยู่รวมกันนั้นมันเหมือนกับกระพริบแสงเสมอกันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จากจุดแรกหลังจากทุกคนได้สัมผัสความงามนั้นแล้ว เรือก็ค่อยเคลื่อนไหลตามสายน้ำไปอย่างเชื่องช้าแต่กลับเหมือนวว่าแล่นเร็วในความรู้สึก เรือไหล่เอื่อยไปโดยสามารถชมแสงน้อยได้ตลอดโดยไม่มีทีท่าว่าเจ้าแสงน้อยหิ่งห้อยนั้นจะไม่มีวันหมดหรือลาสายตาไปได้ ดูเพลินตาพาเพลินใจจนไม่รู้เวลาว่าเมื่อก้มมองนาฬิกาจึงได้รู้ว่าเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว เมื่อเรือแล่นไปจนถึงท้ายน้ำที่เป็นประตูกั้นระบายน้ำของราชการ เรือจึงได้ถูกบังคับให้กลับลำโดยไม่อาจห้ามได้ สิ่งที่ประหลาดใจปนงวยงงก็คือเมื่อเรือกลับลำ และค่อยๆแล่นกลับในทางเก่าเจ้าแสงน้อยที่นับได้เรือนแสนกลับหายไปแม้พยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่อาจเห็นได้อีก เรือใช้ความเร็วเท่าที่ทำได้กลับไปยังที่เดิม(ท่าเรือบ้านคุณสิ)

     วันนี้พวกเราอิ่มเอมคุ้มเกินคุ้ม ได้มาทำงาน ท่องเที่ยว ได้ตังค์ใช้แล้วยังได้ประทับใจซึ่งพวกเราคงไม่สามารถลืมอัพวาได้โดยง่ายนัก

     นอกจากเรื่องราวความสุขสนุกสนานที่ได้เล่าให้ทุกท่านได้ร่วมมีความประทับใจไปด้วยแล้วก็ยังมีเรื่องที่ผมอยากจะเล่าให้ทุกท่านได้ฟังได้อ่านกันต่อ

     เรื่องก็ต่อเนื่องจากเมื่อครู่ ก็คือหลังจากที่เรือถึงที่บ้านคุณสิ โฮมสเตย์ที่คณะได้พักแล้วพวกผม 3 คนจึงได้ทราบว่าเรา 3 คนต้องไปพัก (นอน)อีกบ้านหนึ่งซึ่งทางผู้จัดได้แจ้งเรา เราจึงได้เตรียมตัวที่จะต้องเดินทางต่อโดยจะมีเรือนำเราไปส่ง ไม่นานนักเรือลำดั่งกล่าวก็มาถึง แล้วพวกเราก็ลงเรือเพื่อเดินทาง โดยจุดหมายของเราก็คือบ้านป้าไก่ซึ่งเราคิดว่าก็คงไม่ต่างกับบ้านที่น้องๆ พักอยู่  ระยะทางนั้นทางพี่ขับเรือแจ้งว่าประมาณ 3 กิโลซึ่งทางน้ำถือว่าไกลมาก ระหว่างทางคนเรือก็เล่าปนชี้ให้ดูว่าบ้านหลังนั้นถ่ายละครเรื่องนั้น หลังโน้นถ่ายละครเรื่องนี้ และหลังสำคัญก็คือหลังที่มีต้นลำภูอยู่ตรงท่าบันไดของบ้านหลังหนึ่ง เพลินอยู่กับเรื่องราวเล่าบอกมากมาย สักพักนึงเรือจอดปิดเครื่องพร้อมเสียงหนึ่งร้อง โอ๊ย ดังขึ้น เราจึงหันหน้าหาต้นเสียงนั่นคือพี่คนขับเรือ แสงสลัวจากที่ไกลพอสังเกตุเห็นได้ว่าที่แก้มของพี่เค้ามีเลือดอาบลงมา พอซักถามได้ความว่ามีปลาตัวใหญ่กระโดดข้ามเรือไปทำให้คลีบบาดที่หน้าเอา พี่เค้าจัดแจงวักน้ำในคลองขึ้นล้างหน้า  ก่อนที่พี่เค้าจะชี้มือไปที่เป้าหมายข้างหน้า(ประมาณ 200 เมตร) ว่านั่นคือ "บ้านป้าไก่" หลังที่เราจะเข้าพัก พลันที่พี่เค้าบอกพวกเราจบเรือก็มาเทียบที่ศาลาท่าน้ำสูงพอสมควร ขณะพวกเราก้มหยิบข้าวของสัมภาระก็ได้ยินเสียงเชื้อเชิญ ของบุคคลที่รอรับอยู่บนศาลานั้นว่า "มากันแล้วเหรอ" เสียงค่อนข้างมีอายุแต่ออกหวาน "ขึ้นมาก่อน" เราจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อทักทายบ้าง จึงได้เห็นหญิงชราเนื้อหนังเหี่ยวย่นอย่างมากปานจะเรียกว่ายายหรือทวดได้เลย เราจึงมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะทลึ่งตัวขึ้นจากเรือไปบนศาลา พอร่ำลาพี่คนขับเรือเรียบร้อยป้าไก่ หญิงชราจึงได้พาพวกเราขึ้นบ้านจากการใช้สายตากวาดมองจึงได้เห็นว่า บ้านป้าไก่นี้หลังใหญ่พอสมควรเมื่อมองจากด้านนอก แต่พอเข้าด้านในไม่น่าเชื่อว่ามีการตกแต่งด้วยรูปถ่ายเรียงกันไปกว่า 20 ภาพ มีทั้งสีและขาวดำ โดยแต่ละรูปมีชื่อประหนึ่งว่าไปชมภาพจิตรกรรมในแกลอรี่ก็ไม่ปาน ทุกภาพนอกจากชื่อแล้วก็ยังมีวันที่ ทั้ง ชาตะและมรณะ ทุกภาพไป ชวนพวกเราสยองเสียวสันหลังขึ้นมาทีเดียว เราจึงรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น หลังพูดคุยได้สักนิดป้าไก่ก็หายเข้าครัวไปปล่อยพวกเรานั่งอยู่กลางความเงียบสงบ

หมายเลขบันทึก: 225554เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2008 10:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 23:24 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
  • อ้าว ..... เดี๋ยวกลับมาอ่านค่ะ

อ้าว !!! ตั้งใจตามมาอ่านเต็มที่เลยนะ

ชอบมากๆ "อัมพวา - สมุทรสงคราม"

  • อ่าว อิอิ
  • ไม่เป็นไร เดี๊ยวมาอ่าน
  • ขออ้าว!..ด้วยคน
  • ไม่ใช่คนอัมพวาแต่ก็ใกล้เคียงนะคะ
  • จะตามอ่านค่ะ..แต่กลัวหาไม่เจอ

 

ต้องขออภัย ท่านผู้ชนใจ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

กำลังจะเขียนแล้วครับ

ตามมาอ้าวอีกคน ..แค่จะบอกว่าไปมาแล้วครั้งเดียวแต่ประทับใจมากค่ะ

  • พี่เคยไปแล้วค่ะ บรรยากาศโรแมนติคดีค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท