วิธีที่ 6 มองต่างมุม
หัวข้อนี้พี่จิกขอเพิ่มว่า “ทางบวก” ด้วยนะ อย่าลืม แล้วพี่จิกก็ยกเรื่องน้ำครึ่งแก้วมา น้ำครึ่งแก้ว มันเหลือแค่ครึ่งแก้ว หรือมันมีตั้งครึ่งแก้ว (หรือที่จริงแล้ว แค่แก้วมันใหญ่ไป)
อันนี้ชัดเจน และเป็นมุมที่ผมอยากเรียนรู้จากพี่จิกที่สุด เพราะ”มุมมอง”นี่เองที่จะสะท้อนความเป็นตัวตนออกมาได้ดีที่สุด ผมว่านอกจากความสามารถแล้ว มุมมองของพี่จิกนี่เองที่ทำให้เกิดงานดี ๆ มานักต่อนักแล้ว และที่สำคัญถ้าไม่คิดทางบวก ความคิดที่ออกมามันก็ไม่เรียกว่า”ความคิดสร้างสรรค์”ได้ จริงไหมครับ ว่าแล้วมาฟังนิทานมองต่างมุมกันอีกซักเรื่อง
นิทานมองต่างมุม เรื่องพนักงานขายรองเท้า
กาลครั้งหนึ่งมีพนักงานขายจากบริษัทผลิตรองเท้า 2 คนได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจตลาดใหม่ที่ประเทศห่างไกลความเจริญใจกลางทวีปอาฟริกา เมื่อทั้งสองได้บุกป่าฝ่าดงไปถึง และได้สำรวจสภาพประชาขนในบ้านเมืองนั้นแล้ว พนักงานคนแรกก็คอตกโทรศัพท์หาเจ้านายว่า “เจ้านายครับโครงการมาเปิดตลาดที่นี่ผมว่าพับเถอะครับ คนแถวนี้ไม่มีใครใส่รองเท้าเลย”
แต่พนักงานอีกคนลิงโลดโทรไปว่า”เจ้านาย ส่งของมาด่วนเลย เราได้ตลาดใหม่แล้ว ที่นี่ยังไม่มีใครมีรองเท้าใส่ซักคน” ถ้าคุณเป็นเจ้านาย คุณอยากได้ลูกน้องแบบไหนครับ
ทีนี้ลองมาดูเพลงแบบประภาสกันซัก 2 เพลง
ครั้งหนึ่งพี่จิกเจอบทกลอนตีความลงในนิตยสารฉบับหนึ่ง มีใจความประมาณว่า “แสนเสียดายต้นชบามาบานในโรงเรียนสอนคนตาบอด ไม่มีใครได้ชื่นชม..” อะไรทำนองนั้น พี่จิกใช้คำว่า “เฮ้ย ไม่ได้” แล้วก็แต่งเพลงแก้ที่ชื่อว่า “ต้นชบากับคนตาบอด” ขึ้นมา “...บอดก็เพียงสายตาเท่านั้น แต่จิตใจก็ยังผูกพันความงาม อาจจะรับรู้ไปตาม สูดกลิ่นงาม ฟังเสียงวิไลร่มไม้บังเงา” (ผมขอแนะนำให้หาวีซีดี หรือ ดีวีดีคอนเสิร์ต“เพลงแบบประภาส” (แบบถูกลิขสิทธิ์)มาดู เพลงนี้ร้องโดยน้องตั๊ก ซึ่งเป็นนักร้องเสียงสวยมาก และน้องเค้าตาบอด) ในเพลงนี้มองต่างมุม ผมว่าจะหมายถึงมองจากมุมของคนอื่น ที่ไม่ใช่เราด้วยนะครับ คือผมว่าบทกวีที่บอกว่า “แสนเสียดายต้นชบามาบานในโรงเรียนสอนคนตาบอด...” มันเป็นมุมมองของคนที่ตามองเห็น ที่ไม่ได้คิดถึงหัวใจของคนตาบอดว่าถ้าได้ยินแล้วจะรู้สึกยังไง (ซึ่งอันนี้คนแต่งได้เคยเขียนมาขอโทษพี่จิกผ่านคอลัมน์คุยกับประภาสด้วยครับ)
อีกซักเพลง ใครจำเพลง”หัวใจสลาย” ของ เดอะฮอทเปปเปอร์ ซิงเกอร์ ที่ขึ้นต้นว่า“ดั่งแก้วบางเขาทุบทิ้งแตก ใจฉันแหลกด้วยน้ำมือเธอ” ได้บ้างครับ เพลงเพราะมาก แต่เหมาะสำหรับคนอกหัก เหงาเศร้าไปกับอารมณ์อ่อนไหว พี่จิกก็เอาเลยครับ “แปลกใจใครมาเปรียบรักเป็นแก้วบาง ต้องระวังมิให้บิ่นให้ช้ำ เฝ้าประคองมิให้เสียน้ำคำ ด้วยกลัวทำให้แก้วหมอง...” แต่ไม่ได้แค่วิจารณ์ครับ นักสร้างสรรค์ที่ดีต้องเสนอทางออกด้วย อย่าสักแต่วิจารณ์อย่างเดียว (ยิ่งนักวิจารณ์หลาย ๆ คนที่ใช้คำว่าผู้นิยมบริภาษผู้อื่นจะเหมาะกว่า) ดูทางออกของพี่จิกกันครับ “...แต่รักฉันเปรียบดังต้นไม้งอกงาม ต้องเลี้ยงต้องดูให้น้ำ แม้นปลิดใบกิ่งเสียหักลง งอกเสริมเติบโต รักเป็นดั่งต้นไม้...” นี่ก็เป็นอีกเพลงที่ทำให้คนจำนักร้องหน้าใสนามหนุ่มเสกได้
วิธีที่ 7 มีอะไรเขียนไปก่อน พูดไปก่อนเลย ทำเลย เอาเลย เก็บไว้ทำไม
อย่ามัวแต่คิดครับ เพราะบางทีให้คิดแทบตายมันก็คิดไม่ได้ หรือได้ก็ยังไม่ดี แถมเดี๋ยวซักพักมันก็มีลืมกันบ้างละน่า เขียนเก็บรวบรวมเอาไว้ก่อน แล้วซักวันมาเปิดดู มันอาจจะมาสะกิดความคิดเราในตอนนั้นพอดี หรือเราได้รับข้อมูลความรู้ใหม่มา หรือแค่ตอนนั้นอารมณ์ดี เราอาจเจอชิ้นส่วนที่หายไปของคำต่าง ๆ แล้วเรียงร้อยมันออกมาในที่สุด ใครจะไปรู้ว่าไอ้เส้นขยุกขยุยที่เราเคยจดไว้เมื่อ 10 ปีก่อนจะกลายมาเป็นเพลง นวนิยาย หรือรายการโทรทัศน์ได้
อย่างรายการอนุรักษ์ และ ผสมผสานวัฒนธรรมไทยที่ได้รับคำชื่นชมไปทั่วประเทศ ที่ชื่อว่า “คุณพระช่วย” หรือในภาษาอังกฤษว่า “OH! MY GOD”นี่ คุณคงคิดว่าได้มีการตั้งโจทย์เรื่องรายการที่ส่งเสริมความเป็นไทยมา แล้วระดมสมองถกเถียงรูปแบบ ตบท้ายด้วยการมาหาชื่อที่เหมาะสม ผ่านการกลั่นกรอง 315 ชื่อ ในที่สุดก็เป็นชื่อนี้ที่ได้ความทั้งไทยทั้งอังกฤษ
แต่ที่จริงแล้วไอ้คำว่า “คุณพระช่วย” ที่แปลได้ว่า “OH! MY GOD” เนี่ย มันมาก่อนเลยครับ ชอบคำนี้ จะทำรายการชื่อนี้ แล้วค่อยมาประชุมว่าจะเอาแบบไหนดี ว่ากันง่าย ๆ คือถ้าไม่เล่น คุณพระช่วย ไป OH! MY GOD มากัน รายการนี้ก็ไม่เกิดหรอกครับ แต่ไอ้ความรู้ และความอยากที่จะทำรายการไทย ๆ ของพี่จิกมีมานานแล้ว (พี่จิกชอบพูดเสมอว่าพี่จิกเป็นคนบ้านนอก) อันนี้บอกไว้ไม่ใช่ว่ามีแต่ชื่อแล้วมันจะเป็นรายการได้เลย บ้ารึเปล่า เออแต่จะว่าไป รู้สึกจะมีรายการแบบที่ว่านี่เหมือนกัน ประเภทคิดชื่อได้ อีกอาทิตย์นึงถ่าย อีกอาทิตย์ออนแอร์
อีกกรณี พี่จิกจะแต่งเพลงสนุก ๆ ในสไตล์ “สามโทน” ก็คิดทำนองจนได้ แล้วแต่งเนื้อฉับพลันมาว่า “ขอให้เจ้าหนี้จงเจริญ ร้อยละห้า ร้อยละสิบ ขอให้เจ้าหนี้จงเจริญ” ครับ เรื่องจริงครับ ลองคิดดูว่าถ้าลองพี่จิกเกิดบ้าทำเพลงนี้มาจริง ๆ จะสนุกขนาดไหนหนอ ดีว่าพี่จิกรู้สึกว่าคำและความหมายไม่ค่อยมันลงเลยกลายเป็น “ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ”ในที่สุด
หรือ จากการที่พี่จิกเขียน “ฯลฯ” ขึ้นมาเฉย ๆ เขียนไปเขียนมาก็กลายเป็นเพลง “อื่น ๆ อีกมากมาย” เพลง(เพื่อชีวิตที่สนุกมากในความคิดของผม)ที่ทุกคอนเสิร์ตของเฉลียงต้องเล่นเป็นเพลงประจำ(และก็ชอบเปลี่ยนเนื้อด้วย) กลายเป็นนิตยสาร“ไปยาลใหญ่” นิตยสารที่ ”แนว”ที่สุดในยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งเป็นที่บ่มเพาะคนสนุก ๆในสังคมไทยหลายคน จนกลายเป็นสำนักพิมพ์ ที่พิมพ์หนังสือ“ขอชื่อสุธีสามสี่ชาติ”ที่วัยรุ่นทุกวันนี้ยังอ่านได้ และเป็นอะไรมากมายตามความหมายของ ฯลฯ
หมดแล้วครับเรื่องราวของ 7 วิธีตีหินจากพี่จิก ที่ผมได้มาประมวลไว้อย่างขำ ๆ หวังว่าใครได้อ่านแล้วจะเกิดความสร้างสรรค์ต่อชีวิต การงานอาชีพ ประเทศชาติ และสังคมโลกต่อ ๆ ไป ผมก็จะพลอยได้อนุโมทนาบุญไปด้วย หรือจริง ๆ แค่อ่านแล้วมีความสุขก็ดีแล้วครับ อย่าลืมด้วยว่าอ่านแล้วหมั่นคิด หมั่นบำรุงสมอง หาข้อมูล เสพย์งานศิลป์ หมั่นแลกเปลี่ยนกับผู้คนเยอะ ๆ แค่อ่านความเรียงฉบับนี้เฉย ๆ คงไม่ได้ทำให้เป็นคนสร้างสรรค์ขึ้นในทันที
สุดท้ายนี้พี่จิกได้ฝากเอาไว้ด้วยว่า ถ้าเราเกิดมีความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาสักอย่าง และไตร่ตรองเบ็ดเสร็จจนมั่นใจว่ามันดีแล้ว จงอย่าหวั่นไหวต่อคำพูดของใครหรืออะไรทั้งสิ้น (พี่จิกใช้คำว่าพวกสกัดดาวรุ่ง) ขนาดคำว่า”ตูด”พี่จิกยังใส่ไว้ในเพลงได้เลย...เพลงดังด้วย
แถมท้าย อารมณ์ขันแบบประภาส
วันหนึ่ง ขณะที่กำลังง่วนกับงานตรงหน้า ผมก็ได้ยินเสียงพี่จิกดังขึ้นว่า “ร่มรู้มั้ยว่าพี่เป็นคนดื้อ”
ผมเงยหน้าขึ้นมามองพี่จิก ตกใจเล็กน้อยเพราะที่หน้าผากพี่จิก มีฝาขวดโออิชิรสธรรมดาสีเขียวแปะไว้อันหนึ่ง
แล้วพี่จิกก็พูดต่อว่า ”รู้มั้ยทำไม”
“ทำไมครับพี่” ผมตอบ
“เพราะพี่เป็นคนหัวชนฝา” แล้วพี่จิกก็เดินจากไป...
(แล้วผมก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากระยะประมาณ 3 โต๊ะทำงานว่า “อ้อ รู้มั้ยว่าพี่เป็นคนดื้อ...”)
ตามมายืนยันอีกคนว่าไม่ใช่หน้าม้าค่ะ
สงสัยต้องทะลายกองเอกสารไปขุดความคิดสร้างสรรค์มาเคาะฝุ่นบ้างแล้วสิ
ขอบคุณคร้าบบบบบบ
กำลังอินอยู่ดีๆ เจอมุกหัวชนฝาเข้าไป
ฮาเกือบตกเก้าอี้