ประชากรคนไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก มีทั้งผลิตแล้วบริโภคเอง และไม่ได้ผลิตแต่ซื้อมาบริโภค ชุมชนในเขตชนบท มีอาชีพหลักคือทำนาโดยมุ่งเน้นการผลิตแบบพอเพียง กล่าวคือ มีผลผลิตเพียงพอสำหรับบริโภคเหลือจากบริโภคจึงจำหน่าย การบริโภค เกษตรกรส่วนใหญ่ ร้อยละ90 จะนำไปที่โรงสีข้าวของเกษตรกรรายอื่น กล่าวคือ ไม่มีโรงสีข้าวเป็นของตนเอง ทำให้ถูกอาเปรียบจากเจ้าของโรงสีซึ่งมักจะกักข้าวสารที่ได้จากการสีส่วนหนึ่งไว้ ทำให้ได้ปริมาณข้าวสารน้อยลง เกษตรกรเสียเปรียบตลอดมา
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนโรงสีข้าวกล้องบ้านสร้างช้าง ตำบลไผ่ อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร จึงได้จัดตั้งขึ้นเมื่อ 16 กรกฎาคม ปี 2550 มีสมาชิกแรกตั้ง 48 คน ปัจจุบัน 95 คน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวและส่งเสริมการรวมกลุ่มการผลิตเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน ตลอดจนปลูกฝังทัศนคติให้ชุมชนหันมานิยมบริโภคข้าวกล้องซึ่งเป็นข้าวที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารและโภชนาการ เป็นแนวทางการส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน
การสร้างและการพัฒนา นวัตกรรม
องค์ประกอบ
- โรงสีข้าว
- คณะกรรมการ
- สมาชิก
- ผลิตภัณฑ์
วิธีการ
1.ปี 25050 จัดทำเวทีชุมชนเพื่อจัดทำแผนขอรับการสนับสนุนงบประมาณอยู่ดีมีสุขจากอำเภอทรายมูล ก่อสร้างโรงสีข้าวกล้อง จำนวน 1 แห่ง ได้รับงบสนับสนุน 86,500 บาท ชุมชนสมทบ มูลค่า 40,000 บาท และครั้งที่ 2 ได้รับงบอยู่ดีมีสุขสนับสนุน จำนวน 43,000 บาท และได้รับคัดเลือกจากอำเภอทรายมูลและจังหวัดยโสธร เป็นจุดต้นแบบในการนำแผนชุมชนมาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม
2.ตั้งระเบียบในการบริหารจัดการและคณะกรรมการบริหารจัดการกลุ่ม โดยมีสาระสำคัญดังนี้
2.1) สมาชิกต้องอาศัยอยู่ในชุมชนตำบลไผ่
2.2)คณะกรรมการจะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นผู้สีข้าว ตลอดสัปดาห์ โดยคณะกรรมการจะมีรายได้จากการการสีข้าวกล้อง กิโลกรัมละ 0.50 บาทและข้าวสาร กิโลกรัมละ 0.30 บาท เป็นค่าตอบแทน
2.3) เกษตรกรที่นำข้าวมาสีที่โรงสีของกลุ่ม คิดค่าบริการ ดังนี้
- ข้าวกล้อง คิดจากเกษตรกรที่นำข้าวมาสี กิโลกรัมละ 1 บาท
- ข้าวสาร กลุ่มจะจ่ายให้กับเกษตรกรที่นำข้าวมาสี กระสอบพลาสติกสาน(กระสอบปุ๋ย)ละ 3 บาท
2.4) กลุ่มมีรายได้จาก
- ค่าจ้างสีข้าวกล้อง
- จำหน่ายรำข้าว
- จำหน่ายแกลบสด
- จำหน่ายปลายข้าว
- จำหน่ายข้าวกล้อง (ตามราคาท้องตลาด)
2.5) การจัดสรรกำไรสุทธิ
- ค่าตอบแทนกรรมการ ร้อยละ10
- เฉลี่ยคืนสมาชิก ร้อยละ 30
- กองทุนสวัสดิการให้กับสมาชิก ร้อยละ 10
- กองทุนประกันความเสื่อม ร้อยละ 10
- สมทบกองทุน ร้อยละ 40
การทดสอบ
สิ้นปี 2550 กลุ่มดำเนินการครบ 6 เดือน กลุ่มจึงมีการประชุมใหญ่เพื่อแถลงผลการดำเนินงานและประเมินผลการดำเนินงานปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากคนในและนอกชุมชน สมาชิกได้รับเงินปันผลจากการดำเนินงาน ร้อยละ 41 บาท(โดยคิดจากการระดมหุ้น) นอกจากจะเป็นการประเมินผลการดำเนินงานแล้วกลุ่มได้เปิดโอกาสให้ชุมชนได้สมัครเป็นสมาชิกกลุ่มเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีสมาชิก 95 ราย ระดมหุ้นสมาชิก 6,000 บาท เงินทุนหมุนเวียน 30,241 บาท แต่กลุ่มพบปัญหาจากการดำเนินการ ดังนี้
1) มีข้าวปนระหว่างข้าวสารกับข้าวกล้อง เพราะใช้โรงสีเดียวกันใช้วิธีสลับสายพาน จึงเกิดปัญหาการปนของข้าว
2) สีข้าวไม่ทันกับความต้องการผู้มาใช้บริการเพราะสีสลับระหว่างข้าวสารกับข้าวกล้อง
กลุ่มจึงจัดประชุมและหาแนวทางแก้ไขโดยใช้เวทีประชาคมของชุมชนขอสนับสนุนงบประมาณจากงบอยู่ดีมีสุข(รอบสุดท้าย ในปี 2551) เพื่อก่อสร้างโรงสีข้าวสารโดยเฉพาะเพื่อบริการชุมชน
ทำให้การดำเนินการเป็นไปได้ด้วยดี นอกจากนี้กลุ่มยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนตำบลไผ่ จำนวน 5,000 บาท ผ่านโครงการบริหารจัดการศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลไผ่ ในปี 2550
ผลประโยชน์ที่ได้รับ
1) ชุมชนได้บริโภคข้าวที่มีคุณค่าทางอาหาร
2) ชุมชนมีการบริหารจัดการกลุ่มโดยชุมชนเองเป็นพื้นฐานการพึ่งตนเองของชุมชน
3) เป็นการเพิ่มมูลค่าของผลผลิต
4) แก้ปัญหาเกษตรกรถูกเอาเปรียบจากผู้ดำเนินกิจการโรงสีข้าวระดับครอบครัว
5) มีผลิตภัณฑ์เป็นของชุมชน
6) เป็นการใช้ประโยชน์จากแผนชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม
ที่ผมเล่ามานี้เป็นเพียงตัวอย่างการบริหารจัดการกลุ่มอาชีพในชุมชนที่พยายามพึ่งตนเองโดยใช้ประโยชน์จากแผนชุมชนและความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน เผื่อบางครั้งจะเป็นประโยชน์สำหรับนักส่งเสริมหรือคนทำงานในชุมชนไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินสนับสนุน หมู่บ้าน SML ล็อตใหม่กำลังเข้าสู่ชุมชน ลองใช้ทางเลือกโรงสีข้าวกล้องเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของชุมชนในการพัฒนาอาชีพดูบ้างก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร