การเรียนรู้ตลอดชีวิตกับชาวนา (๒๐)
ขอนำรายงานของมูลนิธิข้าวขวัญ ตอนที่ ๒๐ มาลงต่อนะครับ เป็นบทสรุปประสบการณ์ ๖ เดือนของโรงเรียนชาวนา เสนอมุมมองต่อการจัดการความรู้ในภาคประชาชนไทย
ตอนที่ 20 ภาพสะท้อนความคิด
จากประสบการณ์ในการดำเนินงานโครงการ ส่งเสริมการจัดการความรู้ เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ในช่วง 6 เดือนแรก ประกอบกับการทำงานกับเกษตรกรในเขตชลประทานภาคกลางของมูลนิธิข้าวขวัญในช่วงระเวลา 15 ปีที่ผ่านมา มีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับการส่งเสริมการจัดการความรู้ในสังคมไทย ดังนี้
1. สังคมไทยมีองค์ความรู้เดิมอยู่ในแต่ละท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก และมีคุณภาพพอที่จะใช้เป็นฐานการแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคตได้เป็นอย่างดี แต่องค์ความรู้ในท้องถิ่นส่วนใหญ่จะไม่มีการบันทึกหรือถ่ายทอดในรูปแบบที่เข้าถึงได้ทั่วไป เช่น หนังสือ หรือเอกสารชนิดต่างๆ แต่อยู่ในตัวบุคคลต่างๆในท้องถิ่นนั้นๆ ทั้งเป็นองค์ความรู้ที่มีการสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ และความรู้ที่เกิดขึ้นกับบุคลากรที่มีความสามารถ ความถนัดพิเศษเฉพาะด้าน
ดังนั้น การสืบค้นแหล่งองค์ความรู้ในท้องถิ่นให้พบ แล้วถ่ายทอดออกมา เพื่อใช้เป็นฐานความรู้ในการปฏิบัติงาน แก้ปัญหา และพัฒนาท้องถิ่นนั้นๆ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และจำเป็นจะต้องทำเป็นอันดับแรก
2. ความรู้จากภายนอกที่เหมาะสมกับท้องถิ่น และสอดคล้องกับองค์ความรู้เดิมในท้องถิ่นก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ และจำเป็นต้องนำมาใช้ในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหา และพัฒนาให้ประสบผลสำเร็จ อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในปัจจุบันสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาก ลำพังการนำองค์ความรู้เดิมในท้องถิ่นมาใช้แก้ปัญหาย่อมไม่เพียงพอ หรือมีประสิทธิภาพเป็นที่น่าพอใจ จำเป็นจะต้องถูกเสริมหรือต่อเติมด้วยความรู้ที่เหมาะสมจากภายนอก แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ความรู้ทั้งสองแหล่งต้องสอดคล้องและเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน ไม่ขัดแย้งหรือทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติ
ดังนั้น การคัดเลือกประยุกต์ปรับใช้ความรู้จากภายนอกให้สอดคล้องกับองค์ความรู้ที่ใช้เป็นฐานในท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้เป็นลำดับต่อมา หลังจากมีการรวบรวมองค์ความรู้จากท้องถิ่นแล้ว
3. การนำองค์ความรู้จากท้องถิ่นนั้นๆ และความรู้ภายนอกที่เหมาะสมเข้าไปปฏิบัติโดยคนในท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาท้องถิ่นนั้นๆให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ควรมีคนในท้องถิ่นเป็นหลัก (เป็นพระเอก) และต้องปฏิบัติร่วมกันเป็นกลุ่มจึงจะได้ผลเร็ว และมากกว่าการทำร่วมกับปัจเจกบุคคลทีละราย กระบวนการกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการร่วมปฏิบัติหรือเรียนรู้ จะทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในเรื่องอื่นๆ ต่อเนื่องไป แม้จะสิ้นสุดการปฏิบัติหรือเรียนรู้ร่วมกันแล้ว
บุคลากรที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานหรืออำนวยการให้เกิดการเรียนรู้หรือปฏิบัติงาน เพื่อแก้ปัญหาในท้องถิ่น (คุณอำนวย) นั้น มีความจำเป็นและต้องมีความสามารถในการนำเอา องค์ความรู้ในท้องถิ่นและภายนอกมาปรับใช้ให้เป็นกระบวนการเรียนรู้กับกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมทั้งวิธีการและเนื้อหา การพัฒนาบุคลากรให้เหมาะสมกับการทำหน้าที่นั้น (คุณอำนวย) จึงมีความสำคัญและจำเป็นต้องทำให้สำเร็จเช่นเดียวกัน กระบวนการจัดการความรู้จึงจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในโครงการฯ ช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา คือ ในพื้นที่ตำบล วัดดาว อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มนักเรียนชาวนาที่ได้ผ่านการจัดการความรู้จากโรงเรียนชาวนา ประสบความสำเร็จทั้งการนำความรู้ไปใช้ในการทำนาปลอดสารเคมี และ การปรับเปลี่ยนทัศนคติการดำเนินชีวิต เกิดการเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลในชุมชน ภูมิใจในศักดิ์ศรีของชาวนาและวัฒนธรรมท้องถิ่น จนกระทั่งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ต้องการขยายผลให้ครอบคลุมทั้งตำบลวัดดาว โดยมีความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านงบประมาณ แต่ขาดบุคลากรที่จะทำหน้าที่อำนวยการให้เกิดกระบวนการจัดการความรู้ (คุณอำนวย) เท่านั้น
ดังนั้น กระบวนการสร้างบุคลกร เพื่อทำหน้าที่อำนวยให้เกิดการจัดการความรู้ในท้องถิ่น (คุณอำนวย) จึงเป็นความจำเป็น และมีความสำคัญเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการสร้างบุคลากรในท้องถิ่นนั้นๆเองให้ทำหน้าที่นี้จะเหมาะสมกว่าให้คนนอกเข้าไป เพราะจะทำให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองและขยายผลต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
5. ผลที่ได้รับจากการจัดการความรู้ในรูปแบบโรงเรียนชาวนา พบว่า นอกจากชาวนาที่ผ่านกระบวนการจัดการความรู้ในโรงเรียนชาวนาจะปรับเปลี่ยนวิธีการทำนา โดยนำเอาสิ่งที่เรียนรู้จากโรงเรียนชาวนาไปใช้อย่างได้ผล จนสามารถเลิกใช้สารเคมีกำจัดศัตรูข้าวได้ และลดต้นทุนการผลิตข้าวโดยไม่ลดผลผลิต ทำให้เพิ่มรายได้อย่างน่าพอใจแล้ว ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกว่า ซึ่งเกิดขึ้นในหมู่นักเรียนชาวนากลุ่มนี้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (Paradigm) จากการให้ความสำคัญกับเงินหรือปัจจัยภายนอก มาเป็นการให้ความสำคัญกับสุขภาพ ชีวิต ความสัมพันธ์ในชุมชน สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ศักดิ์ศรี ฯลฯ เป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นผลที่เกิดขึ้นเพราะกระบวนทัศน์แบบเดิมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสอดคล้องกับการทำนาแบบเดิมที่พึ่งพาสารเคมี และทำลายระบบคุณค่าดั้งเดิมของชาวนาต่อเนื่องมาหลายสิบปี ถูกแทนที่ด้วยกระบวนทัศน์ใหม่ที่สอดคล้องกับคุณค่าดั้งเดิมของชาวนา และวิธีการปลูกข้าวที่ไม่พึ่งพาสารเคมี ซึ่งเรียนรู้จากโรงเรียนชาวนา
สรุปโดยสังเขปคือ การจัดการความรู้ในรูปแบบโรงเรียนชาวนา โดยนำเอาองค์ความรู้ในท้องถิ่นและความรู้จากภายนอกมาใช้เป็นหลักสูตรในกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มของชาวนาอย่างประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรม (ลดต้นทุน รายได้เพิ่ม สุขภาพและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น ฯลฯ) แล้ว วิถีการดำเนินชีวิตในชุมชนก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยอย่างเห็นได้เป็นรูปธรรม เช่น การช่วยเหลือเกื้อกูล ความมั่นใจในอาชีพ และอนาคต มีศักดิ์ศรี ภูมิใจในวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น จนรื้อฟื้นขึ้นมาปฏิบัติและถ่ายทอดให้เยาวชนรุ่นต่อไป ฯลฯ
ผลที่เกิดขึ้นจากการจัดการความรู้ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เชื่อได้ว่า หากมีการจัดการความรู้อย่างเหมาะสมในสังคมไทยปัจจุบันแล้ว จะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายๆด้าน ไม่เฉพาะด้านการเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรเท่านั้น
แต่การจัดการความรู้ในสังคมไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ต้องการระยะเวลา และการทำงานเพื่อการพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีกหลายด้าน ทั้งองค์ความรู้ กระบวนการ และบุคลากร
มองจากมุมของ สคส. ข้อสรุปนี้ช่วยตอกย้ำความเชื่อของ สคส. ว่าการจัดการความรู้น่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในการขับเคลื่อนชนบทไทย ไปสู่สังคมพอเพียง เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และมีการใช้ความรู้ในกิจการของตนทุกเรื่อง มีชุดความรู้ที่ร่วมกันสร้างขึ้นใช้งาน และปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา
ข้อสังเกตของ มขข. นี้ มีผลต่อยุทธศาสตร์การทำงานของ สคส. และพันธมิตร ในการดำเนินการสร้าง “คุณอำนวย” ขึ้นอย่างรวดเร็ว
วิจารณ์ พานิช
๕ มิ.ย. ๔๘
ไม่มีความเห็น